‘Raine Cloud’ คือศิลปินดูโอ้ เน – เนติรัฐ จันทร์โต กับ ตาว – อุกฤษฎ์ นรากุลรัศมี จากค่ายเวย์เฟอร์ เรคอร์ดส์ (Wayfer Records) ภายใต้สังกัดวอร์นเนอร์ มิวสิค ผู้มาพร้อมเพลงในสไตล์ที่พวกเขานิยามกันว่า ‘Boring Pop’ ที่ไม่น่าเบื่ออย่างชื่อแต่กลับพามาซึ่งท่วงทำนองนุ่มนวลชวนล่องลอยและเคลิบเคลิ้ม ผ่านบทเพลงที่ทำให้คนที่ฟังนึกจินตนาการตามไปถึงเรื่องราวที่ต้องการจะเล่าให้ฟังในภาษาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของพวกเขา
ล่าสุด Raine Cloud ได้ปล่อยซิงเกิล “Parfum” บทเพลงเคลิ้มเหงาที่พาใจเราล่องลอยไปกับท่วงทำนองอันละมุนคล้ายดังกลิ่นน้ำหอมที่กระจายฟุ้งและปลุกความทรงจำของเราให้ลอยฟุ้งขึ้นมา Beartai Buzz ได้มีโอกาสพูดคุยกับสองหนุ่ม เน-ตาว ‘Raine Cloud’ กับเรื่องราวของบทเพลงใหม่และเรื่องราวบนเส้นทางสายดนตรีของพวกเขา มาทำความรู้จัก ‘Raine Cloud’ ให้ดียิ่งขึ้นผ่านบทสนทนานี้กัน
ซิงเกิลล่าสุด “PARFUM” มีที่มายังไง มีแรงบันดาลใจจากอะไร
เน : เหมือนตามชื่อเลยครับคือตอนแรกไอเดียแรกเลยผมรู้สึกว่าผมอยากเขียนเพลงเศร้าก่อน แล้วเพราะว่าเหมือนเพลงที่ผ่านมาของ Raine Cloud มันไม่ค่อยมีเพลงเศร้าเท่าไหร่ เหมือนกับเป็นการออกตามหาอะไรซะมากกว่า แล้วผมก็นึกถึงคำว่า ‘ฟูมฟาย’ มาก่อนเลย และก็นึกต่อว่าอะไรมันทำให้ฟูมฟายได้บ้าง อะไรมัน ‘พา-ฟูมฟาย’ ได้บ้าง มันก็เลยเอ๊ะกับคำว่า ‘พาฟูม’ ก็เลยนึกไปถึงการเล่นคำระหว่างคำว่า Perfume (น้ำหอม) กับคำว่า ‘พา-ฟูม(ฟาย)’ ก็เลยหยิบคำนี้มา ซึ่งจริง ๆ มันประจวบเหมาะกับตอนที่ผมเคยเอาขวดน้ำหอมเก่าที่บ้านมาดม แล้วจังหวะนั้นผมเหมือนมีภาพแฟลชแบ็กมาเต็ม ด้วยความที่มันเป็นขวดน้ำหอมสมัยผมอยู่มหาลัยปีหนึ่งปีสอง ผมเคยใช้กลิ่นนี้แล้วผมเลิกใช้ไปนานแล้วก็จำกลิ่นมันไม่ได้แล้วด้วย แต่พอผมดมทีเดียวมันแบบเหมือนมีแฟลชแบ็กตอนที่เราเคยมีชีวิตในช่วงปีหนึ่งปีสองใช้ชีวิตกับกลุ่มเพื่อน ๆ ตอนนั้นชีวิตเราทำอะไรอยู่ มันมีภาพแฟลชแบ็กมาหมดเลย ผมก็เลยมีไอเดียว่าเฮ้ยความรู้สึกแบบนี้น่าจะเอาไปแต่งเป็นเพลงนะ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนยังไงจะเล่ายังไง จนกระทั่งได้ชื่อ “PARFUM” มาก็เลยตัดสินใจว่าเราจะเขียนเพลงด้วยแก่นของชื่อนี้แหละ
แล้วในส่วนของดนตรีมีวิธีทำยังไงบ้าง
ตาว : เพลงนี้จะเป็นเนขึ้นไอเดียมาก่อนว่าเป็นเพลงประมาณนี้นะเป็นเพลงเศร้า ๆ หน่อย เพราะว่าเพลงที่ผ่านมามันเหมือนจะเศร้าแต่เศร้าไม่สุด เพลงนี้เราก็เลยอยากทำให้มันออกมาเป็นเพลงเศร้าที่ชัดเจน ก็เลยดีไซน์บรรยากาศของเพลงให้มันมีความรู้สึก มีกลิ่นหอม มีความรู้สึกที่ฟุ้งกระจายบางอย่างเหมือนน้ำหอม ส่วนของดนตรีผมก็จะขึ้นริทึ่มมาก่อนครับ คิดจากกลองก่อนแล้วก็ค่อยมาคอร์ด จากนั้นก็มากีตาร์ครับ แล้วก็พยายามหาซาวด์หลาย ๆ อย่างที่มันช่วยสร้างบรรยากาศเช่นจากพวกซินธ์หรือพวก arpeggiator ใน DAW ในหัวผมตั้งใจจะสร้างบรรยากาศที่มันมีความฟุ้ง กระจาย ล่องลอยครับก็เลยพยายามหาซินธ์ที่มันมีเสียงสูง ๆ แล้วก็มามาใส่พวก arpeggiator ให้สื่อถึงความหอมฟุ้งกระจายตามคอนเซ็ปต์เพลง ถ้าลองตั้งใจฟังดูก็จะได้ยินเสียงซินธ์ยุ่บยั่บ ๆ อยู่ข้างหลังเต็มไปหมดเลยครับ ส่วนพาร์ตของกีตาร์เป็นสิ่งที่ตั้งใจตั้งแต่แรกเลยว่าจะต้องมี ไม่ว่าจะมาเป็นส่วนหลัก ๆ หรือจะเป็นส่วนเสริมก็ต้องมีกีตาร์ด้วย ส่วนเรื่องทางเดินคอร์ด ผมก็ลองเล่นไปและก็ฮัมเป็นคำมั่ว ๆ ไปก่อนครับ เพื่อที่จะดูว่ามันเข้ากับอารมณ์เพลงไหม มันได้อารมณ์แบบที่ต้องการแล้วรึยัง ก็ลองเอาไปให้เนฟีดแบ็กกลับมา และจากนั้นขั้นตอนสุดท้ายก็จะเป็นเนมาใส่เมโลดี้ใส่เนื้อร้องครับ
ในส่วนของเนื้อร้องมีวิธีการเขียนยังไง ตั้งชื่อก่อนไหม ?
เน : ผมจะไม่ตั้งชื่อก่อนครับ สำหรับผมแล้วมันแอบยากอยู่เหมือนกันเพราะบางทีผมจะเป็นคนเขียนเพลงจากเมนไอเดียก่อน คือขั้นแรกผมต้องได้เมนไอเดียสักอันหนึ่งก่อนเพื่อที่จะเขียนมัน และพอเรามีแกนจับยึดไว้ได้เราก็จะเขียนต่อจากแกนนั้นครับ สมมุติผมใช้คำว่าน้ำหอมเฉย ๆ เป็นตัวตั้งผมอาจจะเขียนไม่ได้ แต่ถ้าผมมีไอเดียว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับน้ำหอมผมก็จะเขียนได้เลย เขียนไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับสิ่งนี้ บรรยายไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยมานั่งคิดทีหลังหลังจากที่เราเขียนจบแล้ว ว่ามันมีคำไหนในเพลงหรือมีคำอื่นไหมที่มันเหมาะกับเพลงนี้ ซึ่งในเพลงนี้ก็คือคำว่า ‘พา-ฟูม(ฟาย)’ ก็เลยมาเป็น “PARFUM” นั่นเองครับ ส่วนวิธีการเขียนผมก็จะค่อย ๆ ไล่เขียนมาเรื่อย ๆ เป็นเรื่องราวแบบว่าตอนแรกนึกว่าลืมได้แล้วแต่จริง ๆ แล้วยังไม่ลืม แล้วก็มาพูดถึงเรื่องของสัมผัส มีการใช้คำที่สื่อถึงสัมผัสที่เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง อะไรแบบนี้ ก็เล่าว่าความทรงจำของเรามันเหมือนมีรูป รส กลิ่น เสียง มีสัมผัสผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งเราลืมมันไปหมดแล้ว แต่แค่เพียงได้สัมผัสแค่กลิ่นน้ำหอมอย่างเดียว มันก็ทำให้สัมผัสทั้งหมดมันย้อนกลับมาหมดเลย
แล้วในส่วนของเอ็มวี ปกติแล้วเราจะมีส่วนในการครีเอตมากน้อยยังไง
ตาว : หลัง ๆ มาจะเป็นการประชุมกันมากกว่าครับ เหมือนแบบว่าเรามีไอเดียประมาณนี้ เราเห็นภาพประมาณนี้ ก็จะบรีฟกับทีมโปรดักชันไปอีกทีหนึ่งครับว่าเราอยากได้ประมาณไหน แล้วผู้กำกับว่าก็จะเอาไอเดียของเขากลับมาขายเราอีกทีหนึ่งว่าเขาจะไปเวย์นี้นะ มันก็เลยเป็นการทำงานแบบแชร์กันมากกว่าครับ แต่เมื่อก่อนผมจะเข้าไปคิดเยอะหน่อยเหมือนจะกำกับเองอยู่แล้ว แต่หลัง ๆ มาผมเริ่มอยากได้ไอเดียคนอื่นมาบ้างให้คนอื่น ๆ เข้ามาจอย เข้ามาสนุกด้วยกัน ก็จะได้ไอเดียคนอื่นเข้ามาผสมผสานกับเราครับ ส่วนในเอ็มวี “PARFUM” มันก็จะเล่าเกี่ยวกับกลิ่น แต่ไม่ใช่แค่กลิ่นน้ำหอม มันจะเป็นกลิ่นในชีวิตประจำวัน กลิ่นของความสัมพันธ์ของคน 2 คน ที่เคยอยู่ด้วยกัน ทำอะไรร่วมกัน มีช่วงเวลาร่วมกัน มันก็จะมีกลิ่นต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตในความสัมพันธ์ อย่างในเอ็มวีก็จะเห็นชามข้าว กลิ่นสบู่ กลิ่นตัว กลิ่นเหงื่อ อะไรแบบนี้ครับ มันมีกลิ่นมากมายที่ไม่ใช่แค่กลิ่นน้ำหอม แต่มันเป็นกลิ่นที่อยู่ในชีวิตประจำวันและคนทุกคนต้องได้สัมผัสกับกลิ่นเหล่านี้ในชีวิตแต่ละวันของเรา
มาที่เรื่องราวของ Raine Cloud บ้าง จุดเริ่มต้นของวงนั้นเกิดขึ้นยังไง
เน : มันเริ่มมาจากที่ตอนนั้นผมกับตาวเราเรียนมาที่เดียวกันครับที่ศิลปากร แล้วพอเรียนจบต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ผมก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ส่วนตาวก็ทำงานอยู่ แล้วพอช่วงโควิดมันว่างประมาณนึงผมก็อยากทำเพลงก็เลยชวนตาวมาทำด้วยกัน แบบอยากทำเพลง ไม่อยากทำคนเดียวแล้ว อยากมีเพื่อนมาช่วยทำ ได้ทำด้วยกันขำ ๆ สนุก ๆ แล้วก็ลองส่งเดโม่ให้ตาวฟัง ตาวก็ส่งเดโมของตาวกลับมาให้ฟังด้วย ก็เลยแบบเฮ้ยทำเลย ๆ เลยเริ่มทำแบบไม่ได้คิดอะไร ส่วนชื่อวงก็มาจากการหาคำนาม 2 คำที่มันแทนตัวของผมกับตาว แล้วก็นึกไปถึงคำว่า “เรน” (Rain) กับ “คลาวด์” (Cloud) เป็น ‘เมฆฝน’ ซึ่งก็น่าจะเป็นอะไรที่จำง่ายแล้วก็เอามาทำคอนเทนต์อะไรต่อได้ด้วยอย่างเวลาเราอัปอะไรเราก็ใช้รูปหัวใจสีน้ำเงินหรืออีโมจิรูปเมฆฝนหรืออีโมจิรูปร่ม มันก็จะมีอะไรให้สนุก และชื่อของมันก็คล้องจองกับชื่อของเราด้วยครับ แบบ ‘เรนคลาวด์ – เนตาว’ อะไรแบบนี้นอกจากนี้ความเป็นเมฆฝนมันก็บอกมู้ดเพลงของเราได้ดี มันจะมีความซึมเหมือนฝนกำลังจะตก ก็เลยคิดว่ามันเป็นชื่อที่ดีที่เหมาะแล้วล่ะ ทีนี้คำว่า Raine มันจะมีตัว e อยู่ด้วยใช่ไหมครับ ซึ่งมันมาจากตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย มันจะมีถนนเส้นหนึ่งที่ผมจะต้องนั่งรถผ่านทุกวันชื่อว่า ‘Raine Square’ ผมก็เอ้ยมันแปลกมีตัว e ด้วย แล้วมันดูเท่ดี ผมก็เลยเอามันมาใช้ แถมมันยังมีชื่อผมในนั้นคือ ‘Ne เน’ ด้วย ก็เลยเอาแบบนี้ล่ะ
วัยเด็กของเน-ตาวเป็นยังไง เริ่มรู้ตัวว่าชอบดนตรีตั้งแต่ตอนไหน
เน : จริง ๆ แล้วผมน่าจะเริ่มรู้ตัวประมาณประถมประมาณป.4 -5 ครับ ผมเห็นเพื่อนเล่นกลองชุดตอนที่ไปค่ายลูกเสือกัน แล้วมันดูเท่มากเลย มันตีเพลง “ยาพิษ” ของ Bodyslam แล้วมันเท่มาก เราโดนกับสิ่งนี้เลย เลยคิดอยากเล่นดนตรี แต่ก็คิดอยู่ว่าจะเล่นอะไรดี ในหัวตอนนั้นก็จะมีกีตาร์กับกลองชุดครับ ผมรู้สึกว่ากีต้าร์ดูเท่ดี ก็เลยขอแม่เรียนกีตาร์ไฟฟ้า อยากเท่อยากโซโล แต่แม่ส่งไปเรียนกีตาร์คลาสสิกแทนครับ (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ มันไม่เท่ ก็เลยหยุดเล่นไป พอมาช่วงเริ่มโตขึ้นมาหน่อยสักประมาณม.4 – 5 ก็มีเพื่อนชวนไปทำวง เพื่อนบอกว่าขาดมือเบสพอดี แล้วผมก็พอเล่นได้ก็เลยไปเล่นกับเพื่อน หลังจากนั้นก็เหมือนเราเริ่มชอบจริงจังแล้วพอมาเรียนมหาลัยก็อยู่คณะดนตรีแต่เราเรียนเป็นธุรกิจดนตรีแล้วก็มาเจอตาวเลยครับ ก็เป็นเพื่อนกันมายาวเลย
ตาว : ของผมถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณช่วงป.3 – 4 เหมือนตอนนั้นยังไม่ได้อินกับดนตรีอะไรเลย ก็คือคุณแม่อยากให้ลองเล่นดนตรีให้เป็นสักอย่าง คุณแม่ก็เลยจ้างครูมาสอนที่บ้านตอนนั้นจะสอนกีต้าร์คลาสสิกครับ สอนอ่านโน้ตด้วย แต่ตอนนั้นผมก็ไม่อิน ก็รู้สึกเบื่อ แต่จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องดีตอนโตนะครับ (เน : เออจริงตอนนั้นพวกเราน่าจะตั้งใจเรียนกันนะ (หัวเราะ) ) ตอนนั้นจริง ๆ อยากเล่นกีต้าร์ไฟฟ้า อยากเล่นเพลงร็อกมัน ๆ ครับ ตอนนั้นผมชอบพี่วิน-โปเตโต้มาก อยากเป็นประมาณนั้นบ้างอยากโซโล อยากเล่นอะไรที่มัน ๆ แบบสะบัดหัว ๆ พอเรียนไปได้ประมาณเดือนสองเดือนก็เลิก พอมาช่วง ม.1 เพื่อนเอากีตาร์โปร่งมาเล่นที่โรงเรียน แล้วเราก็คิดว่ามันเท่ดีก็เลยชวนกันฟอร์มวง ก็รวมเพื่อนกันมา 4 คนแต่ขาดมือเบส ก็แข่งกันกับเพื่อนว่าใครชนะได้เป็นมือกีตาร์ ใครแพ้ต้องมาเล่นเบส ผมเลยต้องไปเรียนกีตาร์อีกครั้งเพื่อจะมาแข่งกับเพื่อน ก็เล่นเพลงร็อกแบบ Metallica อะไรแบบนี้เลย แล้วก็มาขิงเพื่อนว่าเราเล่นเพลงนี้ได้นะ ถ้าเพื่อนแกะเพลงนี้เล่นไม่ได้จะมาเล่นกีตาร์แทนนะอะไรแบบนี้ จากนั้นก็ยาวมาจนถึง ม. 6 แล้วเข้ามหาลัย ก็มาเจอเนครับ
แล้วอะไรที่ทำให้เจอกันแล้วรู้สึกว่าถูกชะตาอยากมาทำเพลงด้วยกัน
เน : จริง ๆ ตั้งแต่ตอนสมัยมหาลัยเราเคยทำวงด้วยกันมาก่อนครับ แต่ผมเล่นเบส ตาวเล่นกีตาร์ แล้วก็มีเพื่อนที่เป็นนักร้องคนนึงอยู่แล้ว เราเลยรู้จักและสนิทกันประมาณนึ แต่ทีนี้เหมือนมันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้วงเราต้องแยกทางกันไป แต่ใจผมก็รู้สึกว่าผมยังอยากทำเพลงอยู่ก็เลยไปหัดเรียนทำเพลงเอง หลังจากเรียนจบแล้วก็ไปเทคคอร์สข้างนอก แบบเฮ้ยใช้โปรแกรมยังไงวะ อัดเพลงยังไง เขียนเพลงยังไง ก็ลองมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่ง ประมาณปีนึงผมก็รู้สึกว่าทำคนเดียวมันคิดเยอะว่ะ มันไม่สนุกเลย มันต้องการเพื่อนแล้วล่ะผมก็เลยถามตาวว่ามาทำด้วยกันไหม ตาวเขาก็โอเคก็เลยมาทำด้วยกันครับ
ตาว : ตอนนั้นผมก็เหมือนกันครับพอเรียนก็ยังสนใจเรื่องการทำเพลงเหมือนกัน ก็มีไปเรียน ไปลองทำเพลงของตัวเองบ้างเหมือนกัน ประจวบเหมาะพอดีก็เลยมาทำด้วยกันกับเนครับ
จากเริ่มต้นทำเพลงกันเองตอนนี้เป็นศิลปินในสังกัดค่ายเวย์เฟอร์เรคคอร์ดส (Wayfer Records) แล้ว เรื่องราวเป็นมายังไง
เน : มันเริ่มเมื่อประมาณปีที่แล้วครับ คือตอนนี้เรามาอยู่กับค่ายจะครบปีแล้ว ตอนนั้นมีแมสเซจจากพี่คนหนึ่งชื่อพี่ลูกน้ำครับ เป็น A&R ของวอร์นเนอร์ก็ทักมาใน inbox ของ Raine Cloud บอกว่าชอบเพลงของเรานะสนใจมาคุยกับวอร์เนอร์ไหม ก็เลยได้ลองเข้าไปคุยครับ ซึ่งตอนที่พี่เขาทักมาผมก็ดีใจมาก โทรหาตาวเลยเฮ้ยมีพี่เขาสนใจเราเข้าไปคุยกันไหม
ตาว : ตอนแรกตอบช้าด้วยนะครับ เหมือนไม่ได้เข้าไปเปิดข้อความ เลยมาเป็นวัน
เน : ใช่ ๆ ตอนนั้นเหมือนผมทำงานอยู่ ตาวก็ทำงาน เลยไม่มีใครได้เห็นข้อความเลย ก็แบบว่าฉิบหายละ (หัวเราะ) รีบตอบพี่เขาไปเลย ทีนี้พอมาได้คุยกัน มาทำความรู้จักกับค่าย คุยกันว่าเราทำเพลงยังไง มีแนวทางยังไงกัน ซึ่งทัศนคติของเรากับค่ายก็ตรงกัน มันก็เลยลงตัวและได้เซ็นสัญญากันครับ มันประจวบเหมาะกับเราที่ตอนนั้นลองทำเองทุกอย่างแล้ว ทั้งเพลง ทั้งเอ็มวี คิดคอนเทนต์พีอาร์ ลองทำมาหมดแล้ว มันมีความรู้สึกว่ามันมีความล้าบ้าง เพราะเราทำงานแต่กับตัวเรา เราเลยต้องการทีมสำหรับเราในตอนนั้นก็เลยคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่พอดีสำหรับเราแล้วก็เลยตัดสินใจว่าโอเคเราจะเซ็นสัญญากับวอร์นเนอร์
เน-ตาว นิยามแนวเพลงของ Raine Cloud ไว้ยังไง
เน : แนวเพลงมันถูกสร้างมาใกล้ ๆ กับตอนที่ทำวงและคิดชื่อขึ้นมาได้เลยครับ พอเราเริ่มปล่อยเพลงหนึ่งเพลงสอง ผมก็ส่งให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็คอมเมนต์กลับมาแบบตลก ๆ ว่าเพลงอะไรวะน่าเบื่อดีแบบฟังแล้วดูง่วง ผมก็เลยเฮ้ยน่าเบื่อง่วง มันน่าจะมีคำอะไรนิยามมันได้ ก็เลยคิดแบบขำ ๆ ไปเลยว่าแนว ‘Boring Pop’ ครับ ซึ่งมันฟังแล้วก็ดูน่ารักดีและก็เข้ากับแนวเพลงของเราด้วย ซึ่งคำว่า Boring Pop ในความหมายของเราจริง ๆ แล้วมันอาจจะเป็น Happy Pop ก็ได้
จากที่เล่ามาเหมือนทั้งคู่ก็ชอบเพลงร็อกมาตั้งแต่เด็ก แล้วตอนนี้อยากทำเพลงที่มันเดือดขึ้นมาหน่อยไหม แบบสะบัดหัว ๆ โยก ๆ หน่อย
เน : อยากทำครับ ๆ จริง ๆ แล้วผมชอบแหย่ตาวนะครับว่าอยากทำเพลงร็อก อยากมีเพลงที่เวลาไปเล่นแล้วมันฟีลสนุก ๆ หน่อย ซึ่งผมว่าเดี๋ยวมันก็คงต้องออกมาสักเพลงแน่ครับ ถ้าให้นึกว่ามันน่าจะออกมาในแนวไหนก็คงคล้าย ๆ กับเพลง “Cologne” ของ beabadoobee นะครับ ที่เขาร้องเสียงเบา ๆ แต่ว่ามันมีดนตรีหนัก ๆ อยู่ข้างหลัง อาจจะคล้าย ๆ แบบนี้แต่จะไม่ได้เหมือนขนาดนั้นนะครับ จริง ๆ เราสองคนก็โตมากับเพลงร็อก และสมัยมหาลัย เราก็ทำวงแบบวงร็อกเลยเป็นร็อกแอนด์โรลส์ เป็นบลูส์ร็อก โอลดี้ร็อกอะไรแบบนี้เลยครับก็แบบว่าสนุกดีครับ
ปกติเน-ตาวชอบฟังเพลงแนวไหนและมีใครเป็นศิลปินคนโปรดบ้าง
ตาว : ช่วงนี้ผมเหมือนจะจำศิลปินที่ผมฟังไม่ได้ แต่ผมจะชอบฟังเป็นเพลย์ลิสต์ครับใน spotify อะไรแบบนี้ ถ้าผมชอบเพลงไหน ถูกจริตกับเพลงไหนก็จะกดไลก์ไว้ครับ แล้วก็จะกลับมาฟังอีกแต่ก็จำชื่อศิลปินไม่ได้ ซึ่งช่วงนี้ที่อิน ๆ หน่อยก็จะเป็นพวกอาร์แอนด์บี K-Indy อะไรแบบนี้ครับ
เน : เหมือนตอนนี้เทรนด์การฟังของคนเรามันจะเปลี่ยนไปแล้ว ผมว่า spotify นี่ล่ะคือตัวเปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงของคนเราเลย มันทำให้เราชอบที่จะฟังเพลงเป็นเพลย์ลิสต์ ซึ่งเหมือนมันถูกออกแบบมาให้ custom กับผู้ฟังแต่ละคนเหมือนสร้างสร้อยคอให้กับเราแต่ละเพลงก็เชื่อมต่อกันเข้าไป มันเลยเป็นสร้อยคอเฉพาะตัวของเราซึ่งบางทีเราก็อาจจำไม่ได้แล้วว่าในแต่ละข้อของสร้อยคอเรามีศิลปินคนไหนบ้าง ซึ่งการจำชื่อศิลปินหรือไอดอลของเรามันก็จะถูกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ปีนี้เดือนนี้ผมอาจจะชอบคนนี้ เดือนหน้าก็อาจจะชอบอีกคนนึง แต่สำหรับผมแล้วมันก็มีวงที่เหมือนโตมาด้วยกันอยู่นะครับ ซึ่งก็คือวง The 1975 ชอบมากครับ มีมาเล่นที่ไทยผมก็ไปดูทุกครั้ง อย่างล่าสุดนี่ก็ไปดู ก็เลยรู้ว่าวงนี้แหละ สิ่งนี้แหละ ที่อยู่กับเรามาตลอด ที่เราอินมาตลอด ซึ่งผมกับตาวก็จะฟังเพลงที่มีเทสบางอย่างที่ใกล้ ๆ กันครับ มันมีทั้งจุดร่วมที่เหมือนกันและจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่ อย่างตาวไม่ฟังฮิปฮอปแต่ผมฟังฮิปฮอปอะไรแบบนี้ แต่มันจะมีอะไรบางอย่างที่เรามีจุดร่วมกันอยู่ พอทำเพลงออกมามันก็จะมีส่วนผสมที่มีทั้งความเหมือนและต่างอยู่ด้วยกันครับ
ตอนนี้วางเป้าหมายไว้ยังไงบ้าง จะมีออกอัลบั้มเร็ว ๆ นี้ไหม
เน : เรื่องอัลบั้มนี่เพื่อน ๆ ผมถามบ่อย ซึ่งผมก็รู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเรายังแฮปปี้กับการปล่อยเป็นซิงเกิลอยู่ ก็จะลองปล่อยไปเรื่อย ๆ อย่างปีนี้ก็อาจจะออกมาอีกสัก 3 ซิงเกิลอะไรแบบนี้ครับ แล้วถ้าเราเริ่มมีแฟนเบสมากขึ้น ปริมาณมันกว้างขึ้นใหญ่ขึ้น ผมก็คงจะมองหาอัลบั้มแล้วว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นชิ้นเป็นอันเพื่อที่จะส่งให้กับกลุ่มคนฟังของเราครับ
ตาว : ใช่ครับตอนนี้เราก็อาจจะมองเป็นซิงเกิลไปก่อนแต่ในอนาคตยังไงมันจะต้องไปจบที่อัลบั้มแน่นอนครับ
Raine Cloud อยากบอกอะไรกับแฟน ๆ บ้าง
เน : จริง ๆ แล้วตอนที่เราเริ่มทำเพลงกันมา ก็ไม่ได้คิดว่าอยากให้มีคนมาชอบเราหรือมีคนมาติดตาม แต่จนถึงวันนี้แล้วรู้สึกว่ามันมีคนมาติดตามเราจริง ๆ มีคนมาฟังเพลงของเรา รู้จักเรามากขึ้นจริง ๆ ผมเลยรู้สึกขอบคุณมาก ๆ คิดว่าแค่คำขอบคุณคงไม่มากพอ มันเหมือนเป็นพลังที่ทำให้เรามีแรงทำงานออกมาเรื่อย ๆ แล้วก็ อยากจะมีงานให้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะได้ออกไปเจอคนที่ฟังเพลงของเรา ก็ดีใจมากครับที่ได้เจอได้รู้จักกับทุกคนครับ
ตาว : ขอบคุณครับ ขอบคุณทุก ๆ คนที่ชอบผลงานของเรา ตอนนี้เราก็มีค่ายแล้ว ก็จะไปถึงหูคนฟังได้ง่ายขึ้น อยากขอบคุณจากใจจริง ๆ ครับ ทั้งคนที่ฟังเพลงของเราหรือว่าคนที่เคยมาดูเราเล่นสด และก็ขอขอบคุณในทุก ๆ ยอดวิวจริง ๆ ครับ ขอบคุณในทุก ๆ กำลังใจนะครับ แล้วเราจะทำผลงานเพลงใหม่ ๆ ออกมาให้ทุก ๆ คนได้ฟังกันนะครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส