ปัจจุบันวงการเพลงไทยเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะแนวเพลง ที-ป๊อป ที่ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างปรากฏการณ์ให้วงการเพลงไทยมากมาย 

PIXXIE วงเกิร์ลกรุ๊ปน้องใหม่ก็เริ่มต้นเส้นทางดนตรีของตัวเองด้วยแนวเพลงนี้ PIXXIE ประกอบไปด้วย มาเบล-สุชาดา สอนพันธ์, พิมมา-พิมพ์มาดา ใจสักเสริญ และ อิงโกะ-อินท์ปาลี โชติหิรัญธนนนท์ เธอทั้งสามเป็นเจ้าของเพลงฮิตติดหูอย่าง “มูเตลู”, “เกินต้าน” และ “งอนละ (Boo)” ที่ก่อนหน้านี้ได้ก้าวขึ้นมาสร้างปรากฎการณ์ไปทั่ว TikTok และโดยเฉพาะบนสตรีมมิงดังอย่าง Spotify ที่พวกเธอสร้างฐานผู้ฟังรายเดือนเพิ่มขึ้นมากถึง 1,800% ในระหว่างปี 2022 จนถึงปี 2023

นอกจากนี้ PiXXiE ยังได้ขึ้นบิลบอร์ดที่ NY Times Square ในสหรัฐอเมริกา จากแคมเปญ EQUAL และได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ Wrapped ประเภท Top Track บนเพลย์ลิสต์ T-Pop Now 2022 จากเพลง “เกินต้าน” ที่ได้รับการสตรีมมากที่สุดบนเพลย์ลิสต์ T-Pop Now ในปีที่แล้ว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันพวกเธอสามารถก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการช่วยขับเคลื่อนวงการ ที-ป๊อป ให้ไปไกลระดับโลก แต่กว่าเธอจะมาถึงจุดนี้ สมาชิกทั้งสามต้องผ่านอะไร และ ต้องแลกอะไรบ้าง วันนี้ beartai BUZZ ขอพาทุกคนไปเจาะลึกเรื่องราวของของ PIXXIE ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในวงการนี้ จนวันที่พวกเธอได้เป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนวงการเพลงไทย

เจอกับดนตรีได้อย่างไร?

มาเบล: จุดเริ่มต้นเลยคือที่โรงเรียน เพราะแต่ละห้องเขาต้องส่งตัวแทนไปประกวดร้องเพลงบวกกับเราชอบร้องเพลงอยู่แล้วชอบแหกปากเวลาอยู่ที่บ้านก็เลยได้เป็นตัวแทนไปประกวด แต่ไม่ได้เข้ารอบแต่ว่าเราชื่นชอบและมีความสุขที่ได้ทำมัน

อิงโกะ: เราก็ชอบร้อง เล่น เต้นรำ มาตั้งแต่เด็ก ๆ แม่ชอบเล่าว่าเวลาตอนเด็ก ๆ เวลามีงานบวชหรืองานแต่ง เราจะชอบขึ้นไปร้องเพลง แม่ก็เห็นแหละว่าเราชอบก็เลยส่งไปเรียนร้องเพลง

พิมมา: เริ่มมาจากการเต้น เพราะว่าเราชอบฟังเพลงมาก่อนทำให้รู้จักการเต้นมากขึ้น รู้สึกว่ามันน่าสนใจทำให้ชอบจังหวะดนตรีและอะไรหลาย ๆ อย่าง และเราได้รับโอกาสด้วยเลยทำให้เรารู้จักการร้องได้มากขึ้น 

พิมมาสมัยเด็ก ๆ โดนล้อเรื่องร้องเพลงเพี้ยนทำให้เราขาดความมั่นใจเราก้าวข้ามจุดนั้นได้อย่างไร?  

พิมมา: จริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องก้าวข้ามความรู้สึกที่ไม่ดีพวกนั้นเลย เราแค่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและตัวตนของเราเองให้ได้ เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุดก็พอ อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือคนรอบข้าง เราโชคดีที่มีเพื่อน ๆ และสภาพแวดล้อมที่ดี พอได้มาเป็นศิลปินกำลังใจมันคือสิ่งสำคัญ พอคนรอบข้างดีคอยให้กำลังใจเสมอ ทำให้เรากล้าที่จะเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดค่ะ 

อิงโกะเป็นน้องเล็กสุดและเข้ามาทีหลังพี่ ๆ  เราต้องพยายามมากกว่าคนอื่นไหม? 

อิงโกะ: จริง ๆ ตอนที่เข้ามาก็พอมีพื้นฐานอยู่บ้างแต่ไม่ได้ถึงขั้นเก่งเลยแต่พอเข้ามาเราเห็นพี่ ๆ ทำให้เรารู้สึกว่า พี่ ๆ เขาฝึกกันมานานมากเพราะทุกคนดูมีพื้นฐานกันหมดทำให้เราต้องผลักดันตัวเองขึ้นทำให้ช่วงแรก ๆ เราขยันขึ้นเพราะเราต้องเรียนไปด้วยคอยฝึกไปด้วย

มาเบลที่บ้านคัดค้านการมาอยู่ที่กรุงเทพฯ สุด ๆ 

มาเบล: แม่หวงเรามาก แต่เขาน่าจะเห็นความตั้งใจของเราตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นว่าเราชอบจริง ๆ เพราะถึงขั้นเคยโดดเรียนเพื่อไปแข่งดนตรีด้วย เหมือนใจมันรักไปแล้ว แม่น่าจะเห็นตรงนี้ เราเลยพูดกับเขาตรง ๆ ว่าเราอยากทำจริง ๆ นะมันคือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขและประโยชน์ต่อสิ่งอาจจะเป็นอาชีพของเราในอนาคตได้ แต่ปลายทางเราไม่รู้เลยว่ามาที่นี่มันเป็นจะเป็นยังไงก็เลยรู้สึกกดดันในตอนคุยกับแม่เพราะว่า ในเมื่อเราไม่รู้ แม่ก็ไม่รู้ แล้วเขาจะยอมเอาชีวิตลูกไปฝากไว้ที่ใคร สุดท้ายก็ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองว่า เราอยู่ได้นะ

ชีวิตหลังได้เป็นศิลปินแล้ว?

อิงโกะ: มันไม่ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น เหมือนเราค่อย ๆ รู้จักการปรับตัวไปด้วย ตอนที่เราเริ่มเป็นศิลปินมันอยู่ในช่วงวัยเรียน เราต้องจัดการตารางชีวิตในแต่ละวันเพราะมันมีทั้งการบ้านและงาน เราต้องมาดูตารางแต่ละวันว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้างและจัดการเวลาของตัวเองให้ดี

พิมมา: ก็เปลี่ยนไปเยอะ แต่มันไม่ได้แบบ โอเควันนี้ฉันเดบิวต์แล้วฉันเป็นศิลปินมันจะเปลี่ยนจากเมื่อวานเป็นคนละโลกเลย มันไม่ได้ขนาดนั้นทุก ๆ อย่าง แม้เราไม่ได้เป็นศิลปินมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ว่ามันอาจจะชัดเจนและเกิดขึ้นในระยะเวลาที่สั้นหน่อยอย่างช่วงที่ปล่อยเพลง “มูเตลู” อยู่ดี ๆ เพลงมันก็ดังขึ้นมาแบบไม่น่าเชื่อ ก็แบบตกใจก็เลยปรับตัวไม่ทัน มันก็มีทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสียที่เราต้องรับมือ ส่วนมากก็ต้องช่วยกันปรึกษากันอยู่ตลอด เราสามคนก็ต่างเป็นศิลปินหน้าใหม่กันมาก ๆ ยังต้องปรับตัวกันอีกเยอะในวงการนี้ 

มาเบล: ถ้าเปรียบเทียบกันมันไม่ได้เปลี่ยนขนาดนั้นที่เปลี่ยนจริง ๆ คือการเติบโตของชีวิตความรู้สึกของ 2 ปีที่แล้วกับตอนนี้มันต่างกันค่ะ แบบเมื่อก่อนเราตื่นเต้นทุกครั้งเวลาขึ้นแท็กซี่ หรือ บีทีเอส เลยค่ะ ตอนนี้ก็พอปรับตัวได้แล้วค่ะ 

คุยกับที่บ้านยังไง ให้ยอมปล่อยเรามาเดินบนเส้นทางนี้

อิงโกะ: จริง ๆ ของเราที่บ้านเขาสนับสนุนส่งไปเรียนร้องเพลง เรียนเต้น เหมือนเราชอบอะไรเขาก็จะไม่ขัดแถมยังสนับสนุนส่งให้ไปเรียน แต่ก็มีช่วงที่เราท้ออยากพอกับสิ่งนี้ แต่กำลังใจจากที่บ้านก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกว่า ขนาดพ่อกับแม่เรายังซัพพอร์ตเราเยอะมาก ๆ แล้วทำไมเราจะทิ้งความตั้งใจที่เขาซัปพอร์ตเราเอาไว้แค่นั้น 

พิมมา: สำหรับเราที่บ้านจะเลี้ยงแบบให้ลองเจอในสิ่งที่เราอยากจะทำจริง ๆ โชคดีมากที่เขาให้สิทธิ์ในการตัดสินใจการเลือกเดินทางของเราเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ เราอยากเต้นเขาก็ให้ไป พอมาวันหนึ่งที่เราได้มาเป็นศิลปิน เขาก็รู้สึกว่า โอเคในเมื่อโอกาสมันมาถึงแล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย เราไม่กลัวที่จะผิดพลาด หรือ ผิดหวังเลย แค่ได้ลองทำในสิ่งที่อยากทำ มันก็จริงที่ศิลปินมันต้องแลกอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่เราให้ความสำคัญกับความชอบและประสบการณ์มากกว่าและโชคดีที่พวกเรายังอายุยังน้อย มันมีโอกาสที่จะผิดพลาดและมันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ ก็เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยเรามีโอกาสตรงนี้ก็อยากจะคว้าละทำให้มันดีที่สุด 

มาเบล: ตั้งแต่เด็กแม่ให้เลือกเองหมดเลยว่าเราชอบอะไร เขาก็จะซัปพอร์ตอยู่ตลอดและผลักดันให้ไปในทางนั้น แต่ก็จะมีแค่หนึ่งอย่างคือเขาเป็นห่วงเพราะต้องมาอยู่ต่างบ้าน เขาดูแลไม่ได้ ด้วยความที่เป็นลูกสาวด้วย เขาก็จะเป็นห่วงแบบห่าง ๆ พยายามไม่ทักมาเวลามีงาน เราเป็นคนติดแม่ก็จะมีงอนบ้าง ว่าทำไมไม่โทร ไม่ทักมาบ้าง แต่ก็มีเคยคุยกันว่า “แม่เป็นห่วงเรานะ ก็ดูแลตัวเองด้วย แม่เชื่อใจเรานะ”

ถ้าไม่ได้เป็น PIXXIE คิดว่าตัวเองจะทำอะไรกันอยู่?

พิมมา: เราคิดว่าน่าจะเป็นสไตล์ลิสต์ เพราะว่าเป็นคนชอบแต่งตัวมากเลย

อิงโกะ: น่าจะเป็นนิสิต แล้วก็หาอะไรที่เกี่ยวกับบันเทิงทำเป็นงานอดิเรก 

มาเบล: อยากขายของ ชอบอยู่ในพื้นที่ของโซเชียล ชอบขายของ ชอบพูด ชอบเจอผู้คน

หลายเพลงของ PIXXIE มีท่าเต้นและเนื้อร้องที่เป็นไวรัลใน TikTok มาก ๆ เรารู้สึกยังไงกับปรากฏการณ์นี้ 

อิงโกะ: รู้สึกเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ทุกคนชื่นชอบในผลงานของเราไม่ว่าจะเป็น เนื้อร้อง, ทำนอง หรือท่าเต้นที่ทุกคนเอาไปทำคอนเทนต์ใน TikTok กันไม่ใช่แค่เอาไปเต้นกันอย่างเดียวก็มีคอนเทนต์อื่นอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเพลง “มูเตลู” เขาก็เอาไปใส่คอนเทนต์พวกไสยศาสตร์หรือการมูเตลูต่าง ๆ ไม่ว่าจะข้อมือหรือธูปเทียน เรารู้สึกว่า แค่นี้ก็เหมือนเป็นการช่วยสนับสนุนพวกเราผ่านผลงานแล้ว 

มาเบล: จริง ๆ ตอนแรกรู้สึกตื่นเต้น และตกใจมันเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราไปเดินตลาดแล้วเจอแฟนคลับเราพึ่งปล่อยเพลงใหม่ ๆ แล้วเขาจำชื่อพวกเราไม่ได้เขาก็เรียก มูเตลู! มูเตลู! แค่นี้เราก็รู้สึกดีใจมากแล้วว่าเพลงเรามีผลต่อคนดูนะ 

พิมมา: รู้สึกว่ากระแสตอบรับพวกนี้มันส่งผลต่อกำลังใจพวกเรามาก ๆ ในการที่เราจะทำงานต่อ พอเราทำผลงานมาแล้วและเห็นว่ามีคนชอบมีคนเชียร์ให้เราทำอีก แค่ตัวเราเองก็อยากจะทำอยู่แล้ว พอยิ่งมีกำลังใจมากขึ้น มันเหมือนทำให้เราตั้งใจที่จะทำผลงานให้ดีอีกขึ้นเรื่อย ๆ 

นิยามคำว่า ที-ป๊อป หน่อย? 

พิมมา: สำหรับเรามันเหมือนอีกสังคมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจในยุคปัจจุบัน ที-ป๊อป มันไม่ใช่แค่เพลง หรือ เกิร์ลกรุ๊ปอย่างพวกเราแต่มันยังมีพี่ ๆ และศิลปินมากมายที่อยู่ในวงการมาก่อนพวกเรา เราเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ คนนึงที่เคยไปตามพี่ ๆ ในงานแล้วก็ชื่นชอบมาก ๆ เลยรู้สึกว่าเหมือนเป็นสังคมใหม่ที่พวกเราโชคดีมาก ๆ ที่ได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์นี้ รู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองมาก ๆ ที่ทำให้มาถึงจุดนี้ แล้วก็ขอบคุณแฟน ๆ กับคนรอบข้างมาก ๆ ที่ซัพพอร์ตพวกเรามาถึงจุดนี้ รู้สึกว่าคนไทยเก่งมาก ๆ อยากให้ทุกคนช่วยผลักดันวงการที-ป๊อป ให้ไปไกลกันมากกว่านี้

มาเบล: คนไทยมีศักยภาพและความสามารถที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเรื่องการร้องเพลงหรือการเต้น ที่เราเห็นผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งเราเชื่อว่าทุกคนสามารถทำให้วงการ ที-ป๊อป ไปสู่ระดับสากลได้ เพราะฉะนั้นพวกเราอยากที่จะช่วยกันผลักดัน ที-ป๊อป เพื่อให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพและความสามารถของทุกคนสู่สาธารณะได้มากขึ้น

อิงโกะ: เรารู้สึกว่ามันเป็นเพลงไทยที่มีความป๊อปและได้รับความนิยมมากในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็น เด็ก, วัยรุ่น จนไปถึงผู้ใหญ่ เราว่าทุกคนสามารถเข้าถึงผลงานเพลงได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหนแต่ทุกคนสามารถเสพผลงานทางด้านวงการเพลงได้ 

คิดว่า PIXXIE เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนวงการ ที-ป๊อป อย่างไรบ้าง? 
พิมมา: ถ้าเป็นฟันเฟืองเราคงเป็นฟันเฟืองที่เล็กมาก ๆ เราอาจจะช่วยขับเคลื่อนในวงการบ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจที่มีคนบอกว่า เราเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่ช่วยขับเคลื่อนวงการที-ป๊อปนะ แค่เรามีโอกาสมายืนในจุดนี้เราได้แสดงในสิ่งที่เราชอบ ทำให้คนอื่นสนุกกับพวกเราแค่นี้ก็รู้สึกว่ามันเติมเต็มสำหรับพวกเราแล้ว เราก็ยินดีแล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่พวกเราจะได้เติมเต็มให้กับคนอื่นเหมือนกัน รวมถึงได้ผลักดันวงการที-ป๊อปไปในเวลาเดียวกัน 

เรามองภาพตัวเองในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง?

PIXXIE: ในตอนนี้ที่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเร็วไปหมด เราแค่รู้สึกว่าอยากจะรักษาเอกลักษณ์ของพวกเราเองไว้ อยากจะเป็น PiXXiE ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกสถานการณ์เช่น ช่วงนี้กระแสเพลงช้ากำลังมาก็อาจจะมี PiXXiE ในเวอร์ชันเพลงช้าออกมา แต่ก็คงความเป็นพวกเราอยู่ เราจะพยายามรักษามาตรฐานและเอกลักษณ์ของพวกเราอยู่ในทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ และประมาณช่วงสิงหานี้ จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเราค่าย LIT Entertainment ที่รวมศิลปินทุกเบอร์ในค่ายเลย

ช่วยเล่าถึงอัลบั้ม BLOOM หน่อย ว่าพิเศษยังไง

พิมมา: เป็นอัลบั้มแรกของพวกเรา โดยมีกิมมิกพิเศษคือในแต่ละเพลงจะมีดอกไม้ประจำเพลง ซึ่งความหมายของดอกไม้ก็จะสอดคล้องกับเพลงนั้น ๆ และยังมีข้อความเกี่ยวความรู้สึกของพวกเรา รวมไปถึงขั้นตอนการทำเพลงต่าง ๆ ที่อยู่ในอัลบั้มด้วย

“ชอบอยู่ รู้ยัง (FYI)” เป็นเพลงที่เล่าถึงอะไร? 

พิมมา: ด้วยสไตล์เพลงของ PIXXIE เราจะเล่าถึงผู้หญิงยุคใหม่ที่มั่นใจในตัวเอง กล้าที่จะแสดงออกความคิดเห็น มีวิธีการคิดที่เป็นของตัวเอง อย่างเช่นเพลง “มูเตลู” จะประมาณว่า ฉันชอบใครคนหนึ่ง ฉันก็จะทำให้พรหมลิขิต เกิดขึ้นได้ด้วยตัวฉันเอง เป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความมั่นใจในเรื่องของความรัก เช่นเดียวกับเพลง “ชอบอยู่ รู้ยัง (FYI)” ที่เราชอบคน ๆ หนึ่งมาก ๆ เราก็เลยอยากจะบอกให้เขารู้ว่า เราชอบเขาอยู่นะ อยากให้เขารู้ตรง ๆ มันเหมือนเป็นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา 

ตอนนี้เขารู้รึยัง? 

PIXXIE: น่าจะรู้ได้แล้วนะคะ เพราะเราก็บอกไปแล้วว่า ชอบอยู่ รู้ยัง

ฝากผลงานหน่อย 

PIXXIE: พวกเรา PiXXiE ก็ขอฝากซิงเกิลล่าสุดของพวกเราด้วยนะคะ ชื่อเพลงว่า “ชอบอยู่ รู้ยัง (FYI)” ตอนนี้สามารถรับฟังและรับชม Special Video บน YouTube ทางช่อง LIT Entertainment ได้แล้วนะคะ และสามารถเข้าไปฟังเพลงได้บน Music Streaming ทุกช่องทาง โดยเฉพาะบน Spotify ของพวกเรา PiXXiE เข้าไปฟังกันเยอะ ๆ นะคะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส