จากหนังแอ็กชันฟอร์มเล็ก ที่ใช้ทุนสร้างเพียงแค่ 20 ล้าน ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว John Wick จะกลายเป็นแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จมหาศาล หนัง 4 ภาค ทำรายได้ทั่วโลกไปเกือบ 1,000 ล้านเหรียญ แล้วยังต่อยอดขยายจักรวาลไปได้อีกมากมาย เพราะมีทั้งวิดีโอเกม และทีวีซีรีส์ แล้วยังจะมีหนังภาคแยก Ballerina ตามออกมาอีก
แต่รู้หรือไม่ครับ กระบวนการสร้าง John Wick ภาคแรก มีปัญหามากมายตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมการสร้าง โดยเฉพาะการคัดเลือกนักแสดงนำในบท จอห์น วิค ที่ผู้กำกับอยาได้ตัว คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) มารับบท เพราะเคยร่วมงานกันมาหลายครั้งจนคุ้นเคย แต่ผู้อำนวยการสร้างไม่เห็นชอบด้วย เพราะตามบทนั้น บรรยายถึงตัว จอห์น วิค ไว้ว่าเป็นอดีตมือสังหารที่เกษียณตัวเองมาใช้ชีวิตสงบอยู่กับหมาแล้ว ฉะนั้นนักแสดงจะต้องสูงวัย ถึงจะเหมาะกับบทนักฆ่าวัยเกษียณ ที่แม้อายุมากแล้วแต่ก็ยังดูมีพิษสงอยู่ แต่ก็โชคดีที่ ผู้กำกับสามารถเจรจาหว่านล้อมได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้น เราคงได้ดูหนัง John Wick ที่ไม่มี คีอานู รีฟส์ แล้ว และหนังไม่น่าประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้
สตูดิโอไม่สนใจ หนังเกือบไม่ได้อนุมัติสร้าง
ในวันนี้ John Wick เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำกำไรให้สตูดิโอได้อย่างมหาศาล และสามารถพา คีอานู รีฟส์ ให้กลับมาอยู่ในฐานะพระเอกแถวหน้าของวงการได้อีกครั้ง แม้ว่าหนังจะถูกสร้างออกมา 4 ภาคแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีแฟน ๆ รอคอยที่จะชมหนังภาคต่อไปอยู่เรื่อย ๆ แต่เชื่อไหมครับว่า หนังแอ็กชันเลือดสาดที่เล่าเรื่องอดีตนักฆ่าปลดเกษียณ ที่ต้องหวนคืนวงการเรื่องนี้ กลับไม่ได้รับความสนใจจากผู้บริหารไลออนส์เกตเลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลที่ว่าหนังมีฉากรุนแรงมากมาย ถ้าสร้างออกมาหนังต้องได้เรต R อย่างแน่นอน ซึ่งสวนทางกับความต้องการของทางสตูดิโอ ที่อยากได้หนังที่ตอบรับผู้ชมในวงกว้างได้มากกว่า แชด สตาเฮลสกี (Chad Stahelski) ผู้กำกับได้ย้อนเล่าถึงอุปสรรคในขั้นตอนขออนุมัติสร้างนี้ ระหว่างที่ไปร่วมงาน San Diego Comic-Con ว่าในทีแรกนั้นทางผู้บริหารปฏิเสธที่จะสร้าง John Wick ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เลยว่า มันไม่ใช่ “หนังรัก” ที่คู่รักจะควงแขนกันไปซื้อตั๋วดู
นักแสดงในบท จอห์น วิค จะต้องแก่กว่านี้
ที่ผ่านมานั้น คีอานู รีฟส์ เป็นที่จดจำในบทบาทของ นีโอ จากแฟรนไชส์ The Matrix แต่มาในวันนี้ ผู้ชมกลับจดจำเขาในภาพลักษณ์ John Wick ไปเสียแล้ว แต่เชื่อไหมครับว่า แม้ว่าตัวรีฟส์จะเป็นนักแสดงที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จ แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น เขากลับไม่ใช่ตัวเลือกแรก ๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ตรงกับบทที่เขียนมาว่า จอห์น วิค นั้นเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬที่อยู่ในวัยเกษียณ อายุประมาณ 70 แล้วพึงพอใจกับการอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นในช่วงที่หนังอยู่ขั้นตอนเตรียมการสร้างนั้น ทีมผู้สร้างจึงมุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักแสดงสูงวัยเป็นหลัก
พอ บาซิล อิวานิก (Basil Iwanyk) ผู้อำนวยการสร้างได้อ่านบทภาพยนตร์ที่ ดีเร็ก โคลสตาด (Derek Kolstad) ผู้เขียนบทภาพยนตร์ส่งมาให้ เขาก็เจาะจงเลยว่า จะต้องมีเพียง คลินต์ อีสต์วูด และ แฮร์ริสัน ฟอร์ด เพียงสองคนนี้เท่านั้นที่เหมาะกับบทนี้ เขาจินตนาการถึงชื่ออื่น ๆ ไม่ออกแล้ว พอออกมาแบบนี้ ทางโคลสตาดจึงตัดสินใจกลับไปปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้โลกของนักฆ่าใต้ดินกลายเป็นมาเป็นแกนหลักของเรื่อง เป็นการจงใจปรับเพื่อให้บทเหมาะกับตัว คีอานู รีฟส์ มากขึ้น
เมื่อ คีอานู รีฟส์ ได้อ่านบท John Wick ภาคแรก เขาก็ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ทันที และยืนกรานว่าเขาต้องการรับบทนำนี้ เมื่อเขารู้ว่าร่างแรกของบทนี้ไม่ได้ถูกเขียนมาเพื่อเขา รีฟส์จึงทุ่มเทเวลาถึงสองเดือนในการอ่านทำความเข้าใจกับบทและลงมือแก้บทเอง เพื่อให้เหมาะสมกับตัวเขาอย่างที่สุด แล้วรีฟส์ยังรับหน้าเจรจากับไลออนส์เกตเองว่าเขาต้องการที่จะรับบทนำในเรื่องนี้ แล้วอายุของ จอห์น วิค ก็ถูกปรับให้หนุ่มขึ้นไม่ใช่ 75 อย่างที่เขียนไว้ในร่างแรกแล้ว ในที่สุดทางผู้บริหารไลออนส์เกต ก็เห็นพ้องด้วย แล้ววันนี้เราต่างก็เห็นผลลัพธ์กันแล้วว่า ทั้งทีมผู้สร้างและสตูดิโอต่างก็ตัดสินใจไม่ผิด แม้ว่า John Wick แฟรนไชส์หลักจะจบลง แต่ก็ดูเหมือนว่าทางไลออนส์เกตจะไม่ปิดฉากจักรวาล John Wick ลงง่าย ๆ และหาทางต่อยอดทำเงินกับแฟรนไชส์ไปได้อีกเป็นสิบปี
ที่มา : movieweb