คดีละเมิดลิขสิทธิ์ในวงการเพลงเป็นประเด็นถกเถียงและต่อสู้ทางกฎหมายมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ข้อกล่าวหาว่าลอกเลียนแบบไปจนถึงข้อพิพาทเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตและการใช้งานโดยชอบ การฟ้องร้องเหล่านี้มีนัยสำคัญต่อศิลปิน ค่ายเพลง และอนาคตของการสร้างสรรค์เพลง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คดีลิขสิทธิ์ที่โด่งดังหลายคดีได้กลายเป็นข่าวพาดหัว ท้าทายบรรทัดฐานที่กำหนดขึ้นและกำหนดภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรม บทความนี้จะให้ภาพรวมของคดีลิขสิทธิ์เพลงที่โดดเด่น 9 คดีและผลที่ตามมาต่ออุตสาหกรรมเพลงโดยคัดสรรให้เห็นภาพรวมในหลากหลายมิติ
Napster vs. Metallica (2000)
คดี Napster vs. Metallica เป็นการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างแพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Napster และวงเฮฟวีเมทัลสัญชาติอเมริกัน Metallica ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2000 ในขณะนั้น Napster เป็นบริการแชร์ไฟล์แบบเพียร์ทูเพียร์ยอดนิยมที่อนุญาตให้ผู้ใช้แชร์ไฟล์เพลง รวมถึงเพลงที่มีลิขสิทธิ์ได้ฟรี Metallica กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ยืนหยัดต่อต้าน Napster เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และการแบ่งปันเพลงของพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต
เรื่องของเรื่องคือในตอนนั้น Metallica พบว่ามีเดโมเพลง “I Disappear” ซึ่งเป็นเพลงที่จะเปิดตัวพร้อมกับเพลงประกอบภาพยนตร์ ‘Mission: Impossible II’ กำลังเล่นทางวิทยุ Metallica ติดตามการรั่วไหลไปยังไฟล์บนเครือข่ายการแชร์ไฟล์แบบเพียร์ทูเพียร์ของ Napster ซึ่งแคตตาล็อกทั้งหมดของวงมีให้ดาวน์โหลดฟรี ดังนั้นในเดือนเมษายน 2000 Metallica ได้ยื่นฟ้อง Napster พร้อมตั้งข้อกล่าวหาว่า Napster อำนวยความสะดวกในการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงโดยอนุญาตให้ผู้ใช้แบ่งปันเพลงของ Metallica โดยไม่ได้รับอนุญาต Metallica โต้แย้งว่าการที่เพลงของพวกเขาเผยแพร่อย่างแพร่หลายบน Napster นั้นก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินและบั่นทอนคุณค่าของงานสร้างสรรค์ของพวกเขา
Metallica เรียกค่าเสียหายอย่างน้อย 10 ล้านเหรียญ ในอัตรา 100,000 เหรียญ ต่อเพลงที่มีการดาวน์โหลดอย่างผิดกฎหมาย Metallica ได้จ้าง NetPD ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาออนไลน์เพื่อติดตามบริการของ Napster NetPD สร้างรายชื่อผู้ใช้ Napster กว่า 335,435 รายที่ถูกกล่าวหาว่าแชร์เพลงของวงทางออนไลน์โดยละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ รายชื่อ 60,000 หน้าถูกส่งไปยังสำนักงานของ Napster Metallica เรียกร้องไม่ให้มีการแชร์ไฟล์เพลงของพวกเขา และยุติการใช้บริการของผู้ใช้ที่แชร์เพลงของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้กว่า 300,000 รายถูกแบนจาก Napster คดีนี้ยังระบุให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องรับผิดชอบต่อการอนุญาตให้นักศึกษาดาวน์โหลดเพลงอย่างผิดกฎหมายบนเครือข่ายของตน รวมทั้งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย มหาวิทยาลัยเยล และมหาวิทยาลัยอินเดียนา
การต่อสู้ทางกฎหมายส่งผลให้เกิดข้อตกลงระหว่าง Metallica และ Napster ในปี 2001 Napster ตกลงที่จะใช้ตัวกรองเพื่อบล็อกเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์และจ่ายเงินให้ Metallica เป็นจำนวนเงินที่ไม่เปิดเผยเพื่อแก้ไขคดีความ คดี Napster vs. Metallica มีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และความจำเป็นของกรอบทางกฎหมายในการจัดการกับการละเมิดลิขสิทธิ์ดิจิทัล เน้นย้ำถึงความตึงเครียดระหว่างศิลปิน อุตสาหกรรมเพลง และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคดิจิทัล กรณีนี้ยังมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงแนวทางของอุตสาหกรรมเพลงไปสู่การเผยแพร่ออนไลน์และการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในเวลาต่อมา
Sony BMG กับคดีรูทคิทอันอื้อฉาว (2005)
Sony BMG ค่ายเพลงรายใหญ่ ถูกดำเนินคดีทางกฎหมายหลังจากพบว่าพวกเขาได้รวมซอฟต์แวร์ป้องกันการคัดลอกไว้ในซีดีบางแผ่นของทางค่าย พบว่าซอฟต์แวร์นี้ติดตั้งโปรแกรมที่มีลักษณะคล้ายสปายแวร์ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้โดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ ทำให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย กรณีนี้ดึงดูดความสนใจไปที่การจัดการสิทธิ์ดิจิทัล (DRM) และจริยธรรมของวิธีการป้องกันการคัดลอกที่ใช้ในอุตสาหกรรมเพลง
คดีป้องกันการคัดลอกของ Sony BMG หรือที่เรียกว่าเรื่องอื้อฉาวรูทคิทของ Sony (Sony rootkit scandal) เกิดขึ้นในปี 2005 และเกี่ยวข้องกับการค้นพบซอฟต์แวร์ป้องกันการคัดลอกที่เป็นที่ถกเถียงในซีดีบางแผ่นที่ออกโดย Sony BMG ซึ่งเป็นค่ายเพลงรายใหญ่
Sony BMG ใช้รูปแบบการจัดการสิทธิ์ดิจิทัล (DRM) ในซีดีเพื่อป้องกันการคัดลอกโดยไม่ได้รับอนุญาต ซอฟต์แวร์ป้องกันการคัดลอกที่พัฒนาโดยบริษัท First 4 Internet รวมอยู่ในซีดีประมาณ 52 แผ่น รวมถึงอัลบั้มของศิลปิน เช่น Celine Dion, Alicia Keys และ Neil Diamond
ซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Extended Copy Protection (XCP) มีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดจำนวนครั้งที่ผู้ใช้สามารถคัดลอกซีดีและป้องกันการริปแทร็กไปยังคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม พบว่าซอฟต์แวร์ XCP มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยร้ายแรงและใช้เทคนิคคล้ายรูทคิทเพื่อซ่อนการแสดงตนในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้
นักวิจัยด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ชื่อ มาร์ก รัสซิโนวิช (Mark Russinovich) เผยแพร่บล็อกโพสต์ในเดือนตุลาคม 2005 โดยเปิดเผยลักษณะที่ซ่อนอยู่ของซอฟต์แวร์ เขาค้นพบว่าซอฟต์แวร์ XCP ติดตั้งรูทคิทซึ่งเป็นเทคนิคการปิดบังที่ใช้เพื่อปกปิดไฟล์และกระบวนการต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้โดยที่พวกเขาไม่รู้หรือไม่ยินยอม สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และศักยภาพของมัลแวร์ที่ใช้ประโยชน์จากรูทคิท
เมื่อข่าวซอฟต์แวร์ที่ซ่อนอยู่แพร่ออกไป ทำให้เกิดกระแสต่อต้านและดำเนินการทางกฎหมายกับ Sony BMG ผู้บริโภคยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่มหลายคดี โดยกล่าวหาว่าบุกรุกความเป็นส่วนตัว ละเมิดกฎหมายความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ และข้อเรียกร้องอื่น ๆ
เพื่อตอบสนองต่อข้อขัดแย้ง Sony BMG ได้ออกแพตช์เพื่อลบรูทคิท แต่ถูกวิจารณ์ว่าขาดความโปร่งใสและการตอบสนองที่ไม่เพียงพอ ในที่สุดทางค่ายได้เรียกคืนซีดีที่ได้รับผลกระทบจากตลาดและเสนอโปรแกรมเพื่อแลกเปลี่ยนซีดีที่มีการป้องกันการคัดลอกเป็นเวอร์ชันที่ไม่มีการป้องกัน
ผลกระทบจากกรณีป้องกันการคัดลอกของ Sony BMG ได้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเพลงและการใช้ DRM โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นของความโปร่งใส ความยินยอมของผู้ใช้ และสิทธิของผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับมาตรการป้องกันการคัดลอก กรณีนี้ยังกระตุ้นให้มีการอภิปรายเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการปกป้องลิขสิทธิ์และการเคารพความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้บริโภค กรณีการป้องกันการคัดลอกของ Sony BMG ถือเป็นเรื่องเตือนใจเกี่ยวกับผลที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการ DRM ที่ล่วงล้ำโดยไม่มีการเปิดเผยที่เหมาะสม และความสำคัญของการรักษาความไว้วางใจของผู้บริโภคในตลาดเพลงดิจิทัล
Apple Corps vs. Apple Computer (1978-2007)
คดีระหว่าง Apple Corps และ Apple Computer ยืดเยื้อหลายปีตั้งแต่ปี 1978 ถึง 2007 และเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชื่อและโลโก้ “Apple”
ในปี 1978 Apple Corps ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยวง The Beatles และเป็นเจ้าของค่ายเพลง Apple Records ได้ยื่นฟ้อง Apple Computer ในข้อหาละเมิดเครื่องหมายการค้า คดีนี้ตัดสินในปี 1981 โดยมีการจ่ายจำนวนเงินที่ไม่เปิดเผยให้กับ Apple Corps ภายหลังมีการเปิดเผยว่าจำนวนเงินนี้อยู่ที่ 80,000 เหรียญ ณ ช่วงเวลานั้น ตามเงื่อนไขของข้อตกลง Apple Computer ตกลงที่จะไม่เข้าสู่ธุรกิจเพลง และ Apple Corps ตกลงที่จะไม่เข้าสู่ธุรกิจคอมพิวเตอร์
จากนั้นในปี 1991 ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงที่เรียกว่า “ข้อตกลงของ Apple” ข้อตกลงนี้ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าก่อนหน้านี้ระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยมีข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับการใช้ชื่อ Apple ของ Apple Computer ในด้านดนตรี อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 Apple Computer ได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเพลงดิจิทัลด้วยการเปิดตัว iTunes และ iPod การขยายธุรกิจครั้งนี้สร้างความกังวลจาก Apple Corps ซึ่งเชื่อว่าละเมิดเงื่อนไขข้อตกลงปี 1991จากการที่ Apple Computer เข้าสู่วงการเพลง ดังนั้นในเดือนกันยายน 2003 Apple Corps ได้ยื่นฟ้อง Apple Computer ในศาลสูงของลอนดอน โดยอ้างว่า Apple Inc. ละเมิดข้อตกลงโดยใช้โลโก้และชื่อ Apple ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับดนตรี
คดีนี้วนเวียนอยู่กับการตีความข้อตกลงปี 1991 และกิจกรรมของ Apple Computer ในอุตสาหกรรมเพลงถือเป็นการละเมิดข้อตกลงนั้นหรือไม่ Apple Corps แย้งว่าการใช้โลโก้และชื่อ Apple ของ Apple Inc. ใน iTunes Music Store และบริการที่เกี่ยวข้อง เป็นการละเมิดสิทธิ์เครื่องหมายการค้าและสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค ในระหว่างการดำเนินคดีทางกฎหมาย มีการนำเสนอหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความทับซ้อนระหว่างกิจกรรมของทั้งสองบริษัทในอุตสาหกรรมดนตรี ทั้งสองฝ่ายยังเสนอพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนตำแหน่งของตน ในเดือนพฤษภาคม 2004 ศาลสูงแห่งลอนดอนตัดสินว่าการใช้ชื่อและโลโก้ Apple ใน iTunes Music Store ของ Apple Computer ไม่ได้ละเมิดข้อตกลงปี 1991 ศาลสรุปว่ากิจกรรมของ Apple Inc. อยู่ในขอบเขตของการส่งข้อมูลมากกว่าการผลิตเพลง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ข้อตกลงจำกัดไว้โดยเฉพาะ
Apple Corps ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว แต่ในเดือนกรกฎาคม 2007 ศาลอุทธรณ์ได้ยืนหยัดในคำตัดสินก่อนหน้านี้ โดยสนับสนุน Apple Computer อีกครั้ง คำตัดสินนี้ยุติการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างทั้งสองบริษัทเป็นเด็ดขาด คดีระหว่าง Apple Corps และ Apple Computer ได้เน้นย้ำถึงความซับซ้อนของข้อพิพาทเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทขยายไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการกำหนดและตีความข้อตกลงในบริบทของเทคโนโลยีและภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
Lenz v. Universal Music Corp. (2007)
Lenz v. Universal Music Corp. หรือที่เรียกว่าคดี “Dancing Baby” เป็นคดีละเมิดลิขสิทธิ์ที่สำคัญซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2007 ซึ่งต้นตอมาจากวิดีโอคลิปความยาว 29 วินาทีที่เผยแพร่บน YouTube คดีนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ สเตฟานี เลนซ์ (Stephanie Lenz) ผู้หญิงที่อัปโหลดวิดีโอไปยังยูทูบในปี 2007 เป็นภาพของเด็กวัยหัดเดินซึ่งก็คือลูกชายวัย 13 เดือนของเธอกำลังเต้นเพลง “Let’s Go Crazy” ของพรินซ์ (Prince) วิดีโอนี้มีชื่อว่า “Let’s Go Crazy #1” ซึ่งเลนซ์นั้นแค่อยากแชร์โมเมนต์น่ารัก ๆ กับครอบครัวและเพื่อน ๆ แต่ Universal Music Corp. ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงของพรินซ์กลับไม่ปลื้มและยื่นแจ้งลบวิดีโอภายใต้ รัฐบัญญัติลิขสิทธิ์แห่งสหัสวรรษดิจิทัล (Digital Millennium Copyright Act (DMCA)) เพื่อลบวิดีโอออกจากยูทูบ
เลนซ์โต้แย้งว่าวิดีโอของเธอเป็น ‘การใช้ลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยชอบ’ (fair use) เนื่องจากไม่ได้เป็นการนำเอามาใช้ในเชิงพาณิชย์และใช้แค่เพียงส่วนเล็ก ๆ ของเพลงเท่านั้น เธอโต้แย้งว่า Universal Music Corp. ใช้ DMCA ในทางที่ผิดและแจ้งลบออกโดยไม่คำนึงถึงสิทธิ์การใช้งานโดยชอบ
ด้วยความช่วยเหลือจาก มูลนิธิพรมแดนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Frontier Foundation (EFF)) เลนซ์ได้ยื่นฟ้อง Universal Music Corp. ในปีเดียวกันนี้ โดยกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์ในทางที่ผิดและเรียกร้องให้มีการประกาศว่าวิดีโอของเธอเป็นการใช้งานโดยชอบภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
เคสนี้ได้รับความสนใจอย่างมากและกลายเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับปัญหาการใช้งานโดยชอบในบริบทของเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นและแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับภาระผูกพันของผู้ถือลิขสิทธิ์ในการพิจารณาการใช้งานที่เหมาะสมก่อนที่จะออกประกาศให้ลบออกภายใต้ DMCA
การพิจารณาคดีกินเวลาหลายปี ในปี 2008 ศาลแขวงตัดสินให้ผู้ถือลิขสิทธิ์ต้องพิจารณาถึงการใช้งานโดยชอบก่อนที่จะส่งการแจ้งลบ ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งแรกในการแก้ไขปัญหานี้ คดีนี้ดำเนินไปสู่การอุทธรณ์ และในปี 2015 ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าเจ้าของลิขสิทธิ์ต้องพิจารณาการใช้งานที่เหมาะสมก่อนที่จะออกประกาศให้ลบออก และเลนซ์สามารถดำเนินการเรียกร้องการบิดเบือนความจริงต่อ Universal Music Corp.
คำตัดสินของศาลในคดี Lenz v. Universal Music Corp. มีนัยสำคัญในการสร้างแบบอย่างสำหรับการพิจารณาการใช้โดยชอบธรรมในการแจ้งลบ DMCA โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องการใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ที่ไม่ได้เป็นไปในเชิงพาณิชย์ และกำหนดให้ผู้ถือลิขสิทธิ์มีหน้าที่ในการประเมินการใช้งานที่เหมาะสมก่อนที่จะส่งการแจ้งลบเนื้อหา
กรณีนี้ยังมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของแพลตฟอร์มออนไลน์และสิทธิ์ของผู้ใช้ในการแบ่งปันและดัดแปลงเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ตามหลักการการใช้งานโดยชอบ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นของแนวทางที่สมดุลในการบังคับใช้ลิขสิทธิ์ที่เคารพทั้งสิทธิ์ของผู้ถือลิขสิทธิ์และเสรีภาพในการแสดงออกของบุคคลบนอินเทอร์เน็ต
Capitol Records vs. Thomas-Rasset (2007-2017)
คดี Capitol Records v. Thomas-Rasset หรือที่เรียกว่าคดี แจมมี โทมัส ราสเซ็ต (Jammie Thomas-Rasset) เป็นคดีละเมิดลิขสิทธิ์ที่โดดเด่นในสหรัฐอเมริกาซึ่งกินเวลาหลายปี คดีนี้เริ่มขึ้นในปี 2007 เมื่อ Capitol Records ร่วมกับค่ายเพลงสำคัญอื่น ๆ ยื่นฟ้อง แจมมี โทมัส ราสเซ็ต หญิงชาวมินนิโซตาในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ ค่ายเพลงกล่าวหาว่า โทมัส ราสเซ็ต แบ่งปันและแจกจ่ายเพลงที่มีลิขสิทธิ์อย่างผิดกฎหมายผ่านบริการแชร์ไฟล์ Kazaa
คดีดังกล่าวกล่าวหาว่า โทมัส ราสเซ็ต เผยแพร่เพลง 24 เพลงสู่สาธารณะฟรีบนบริการแชร์ไฟล์ของ Kazaa รวมถึงเพลงของศิลปินอย่าง Aerosmith, Green Day และ Guns N’ Roses โดยไม่ได้รับใบอนุญาต การพิจารณาคดีเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2007 และโทมัส ราสเซ็ตถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ คณะลูกขุนตัดสินให้ค่ายเพลงได้รับค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 222,000 เหรียญ โดยคิดเป็นมูลค่า 9,250 เหรียญ สำหรับแต่ละเพลงจาก 24 เพลงที่รวมอยู่ในการฟ้องร้อง
โทมัส ราสเซ็ต ท้าทายคำตัดสินและยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน ในปี 2010 ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางได้ลดค่าเสียหายลงเหลือ 54,000 เหรียญ โดยถือว่าจำนวนเงินเดิมมากเกินไปและขัดต่อรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามค่ายเพลงปฏิเสธจำนวนเงินที่ลดลงซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องต่อไป
ในปี 2012 คดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาคดีครั้งที่ 3 และคณะลูกขุนตัดสินอีกครั้งว่า โทมัส ราสเซ็ต ต้องรับผิดในการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเรียกค่าเสียหาย 1.5 ล้านเหรียญ หรือ 62,500 เหรียญ ต่อเพลง โทมัส ราสเซ็ต ยังคงท้าทายคำตัดสินและยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน
จนกระทั่งในปี 2017 ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีครั้งที่ 4 เงื่อนไขของข้อตกลงไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่เป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานระหว่าง Capitol Records และ แจมมี โทมัส ราสเซ็ต
คดีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากและได้รับการติดตามอย่างกว้างขวางเพราะเป็นคดีแรกที่พุ่งเป้าไปที่บุคคลในข้อหาแชร์ไฟล์อย่างผิดกฎหมาย ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของการแชร์ไฟล์ออนไลน์และจำนวนค่าเสียหายที่เหมาะสมสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ในยุคดิจิทัล
Beastie Boys vs. Monster Energy Co. (2014)
คดี Beastie Boys กับ Monster Energy Co. หรือที่เรียกว่า “คดี Monster Energy Drink” เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ Beastie Boys ยื่นฟ้องต่อ Monster Energy Co. ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องดื่มชูกำลัง
ในปี 2012 Monster Energy Co. ได้สร้างวิดีโอโปรโมตสำหรับการแข่งขันสโนว์บอร์ดชื่อ “Ruckus in the Rockies” วิดีโอดังกล่าวเป็นการรีมิกซ์เพลงของ Beastie Boys หลายเพลง รวมถึง “Sabotage,” “So What’cha Want” และ “Looking Down the Barrel of a Gun” ซึ่งเพลงเหล่านี้ถูกใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตมจาก Beastie Boys หรือค่ายเพลงของพวกเขา
Beastie Boys ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก อดัม เยาช์ (Adam Yauch, MCA), อดัม โฮโรวิทซ์ (Adam Horovitz ,Ad-Rock) และ ไมเคิล ไดมอนด์ (Michael Diamond, Mike D) มีนโยบายอันยาวนานที่จะไม่อนุญาตให้นำเพลงของพวกเขาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ นโยบายนี้ทำขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ อดัม เยาช์ ผู้ล่วงลับไปแล้วในปี 2012 และได้รวมข้อห้ามการใช้เพลงของเขาในการโฆษณาไว้ในพินัยกรรมของเขาด้วย
ในระหว่างการพิจารณาคดี มีการนำเสนอหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการเข้าถึงและการมองเห็นที่สำคัญของวิดีโอโปรโมต ซึ่งได้รับการอัปโหลดไปยังยูทูบและมีผู้ชมหลายล้านคน คดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาคดีในศาลแขวงสหรัฐในเขตทางตอนใต้ของนิวยอร์ก ในเดือนมิถุนายน 2014 คณะลูกขุนตัดสินให้ Beastie Boys ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย 1.7 ล้านเหรียญ คณะลูกขุนพบว่า Monster Energy Co. ได้กระทำการโดยจงใจในการใช้เพลงของ Beastie Boys โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่
คดีนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการได้รับอนุญาตที่เหมาะสมเมื่อใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ในบริบทเชิงพาณิชย์ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเคารพสิทธิ์ของศิลปินเกี่ยวกับการใช้เพลงของพวกเขาและผลที่ตามมาจากการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่ในแคมเปญส่งเสริมการขายหรือโฆษณา
Stairway to Heaven vs. Taurus (2014-2020)
คดีละเมิดลิขสิทธิ์เพลง “Stairway to Heaven” ของวง Led Zeppelin เกิดจากข้อกล่าวหาที่ว่าวงร็อคชื่อดังลอกเลียนแบบท่อนริฟฟ์กีตาร์อินโทรในเพลง “Stairway to Heaven” จากเพลง “Taurus” ของวง Spirit
คดีนี้ถูกฟ้องในปี 2014 โดย ไมเคิล สกิดมอร์ (Michael Skidmore) ผู้จัดการมรดกที่เป็นตัวแทนของแรนดี้ วูล์ฟ (Randy Wolfe) มือกีตาร์และนักแต่งเพลงของวง Spirit สกิดมอร์อ้างว่า Led Zeppelin ได้คัดลอกโน้ตในท่อนเปิดของเพลง “Stairway to Heaven” จากเพลง “Taurus” ซึ่งเป็นเพลงที่ออกโดยวง Spirit ในปี 1968
การพิจารณาคดีเกิดขึ้นในปี 2016 ที่ศาลแขวงสหรัฐฯ ในเขตเซ็นทรัลแคลิฟอร์เนีย ในระหว่างการพิจารณาคดี ทั้งสองฝ่ายได้นำเสนอพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์ความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง 2 เพลง ทนายความของวูล์ฟโต้แย้งว่า Led Zeppelin เริ่มคุ้นเคยกับเพลงของ Spirit หลังจากที่ โรเบิร์ต แพลนต์ (Robert Plant) นักร้องนำวง Led Zeppelin เห็นพวกเขาเล่นที่คลับในเบอร์มิงแฮมในปี 1970 หนึ่งปีก่อนที่ “Stairway to Heaven” จะได้รับการเผยแพร่
ในการพิจารณาคดีครั้งแรก มาร์ค แอนดีส (Mark Andes) มือเบสของ Spirit ให้การว่าเขาได้พบกับแพลนต์ที่โชว์และเล่นสนุกเกอร์กับเขาหลังจากนั้น แพลนต์ยืนยันว่าเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคืนนั้นเลย ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุรถชนระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งตัวเขาและภรรยาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะในอุบัติเหตุดังกล่าว
ส่วนจิมมี่ เพจ (Jimmy Page) มือกีตาร์ของ Led Zeppelin ก็ให้การว่าเขาไม่รู้จักเพลงของวง Spirit มาก่อนเลยจนกระทั่งผู้คนเริ่มโพสต์เปรียบเทียบทางออนไลน์ในช่วงต้นปี 2010
คณะลูกขุนพิจารณาคดีนี้และตัดสินให้ Led Zeppelin ชนะในที่สุด โดยพบว่าวงไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์เพลงของ Spirit คณะลูกขุนตัดสินว่าแม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันระหว่าง 2 เพลง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ คดีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากเนื่องจากสถานะที่โดดเด่นของเพลงและความนิยมที่ยาวนาน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับขอบเขตของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ การตีความความคล้ายคลึงกันในการประพันธ์เพลง คำตัดสินได้ทำให้ “Stairway to Heaven” ของ Led Zeppelin ยังคงครองตำแหน่งเพลงสำคัญในประวัติศาสตร์ดนตรีร็อคอย่างไร้มลทิน
Blurred Lines vs. Got to Give It Up (2015)
ในปี 2013 โรบิน ธิค (Robin Thicke) และฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ (Pharrell Williams) ร่วมกันแต่งเพลงฮิต “Blurred Lines” ที่ทำรายได้ให้พวกเขามากกว่า 16 ล้านเหรียญ จากยอดขายและรายได้จากการสตรีม มิวสิกวิดีโอได้รับการชมหลายร้อยล้านครั้งบน YouTube และ Vevo แม้จะได้รับความนิยมแต่ความคล้ายคลึงของเพลง “Blurred Lines” กับเพลงฮิตในปี 1977 “Got to Give It Up” ของมาร์วิน เกย์ (Marvin Gaye) ก็จุดประกายความขัดแย้ง
ครอบครัวของเกย์รู้สึกเดือดดาล เพราะเชื่อว่างานของเกย์ถูกขโมยไป ธิคจึงยื่นฟ้องเพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวของเกย์เรียกร้องส่วนแบ่งค่าสิทธิใด ๆ อย่างไรก็ตาม ธิคเคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่าเขาได้รับอิทธิพลจาก มาร์วิน เกย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Got to Give It Up” ในตอนที่เขาร่วมแต่งเพลง “Blurred Lines” กับวิลเลียมส์
ครอบครัวเกย์ฟ้องวิลเลียมส์และธิคเพื่อตอบโต้ ความขัดแย้งปรากฏในคำกล่าวของธิคในการให้สัมภาษณ์กับ GQ ซึ่งเขากล่าวว่าเขาร่วมเขียนเพลง “Blurred Lines” แต่ในศาลเขากลับอ้างว่าความจริงแล้ววิลเลียมส์เป็นคนแต่งเพลงนี้ และก่อนหน้านี้เขาโกหกเพื่อที่จะได้รับเครดิต ส่วนวิลเลียมส์ก็กล่าวอ้างว่าแม้ว่าดนตรีของเกย์จะมีอิทธิพลต่อเขาในวัยหนุ่ม แต่เขาก็ไม่ได้คัดลอกเพลงของเกย์ในการแต่งเพลงเพลงนี้
ในเดือนมีนาคม 2015 คณะลูกขุนตัดสินให้ฝ่ายครอบครัวของเกย์เป็นผู้ชนะ โดยระบุว่าในขณะที่วิลเลียมส์และธิคไม่ได้ลอกเลียนแบบ “Got to Give It Up” โดยตรง แต่ก็มี “ฟีล” ที่คล้ายกันเพียงพอที่จะรับประกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ทายาทของเกย์ได้รับความเสียหาย 7.4 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดที่เคยได้รับในคดีลิขสิทธิ์เพลง
ในขณะที่นักวิจารณ์หลายคนเห็นด้วยกับคำตัดสินนี้ คนอื่น ๆ กลับกังวลว่าอาจส่งผลเสียต่อการแต่งเพลงของศิลปิน ยกตัวอย่างเช่น โรเบิร์ต ฟิงก์ (Robert Fink) ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีกล่าวว่าคำตัดสินนี้มีศักยภาพที่จะเป็น “การปิดกั้นมรดกทางเสียง กรู๊ฟ ความรู้สึก และท่วงทำนอง ที่มีร่วมกันของเรา” นักดนตรี ศิลปิน และนักแต่งเพลงมักสังเกตว่าผลงานก่อนหน้านี้มีอิทธิพลต่อกระบวนการสร้างสรรค์ของพวกเขา และมีน้อยมากที่งานสร้างสรรค์ใด ๆ จะมีความเป็นต้นฉบับโดยสมบูรณ์ ทั้งธิคและวิลเลียมส์ไม่ได้มองว่าอิทธิพลทางดนตรีของเกย์เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่เป็นแรงบันดาลใจที่กระตุ้นให้พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ที่เป็นต้นฉบับในแนวทางของตนเอง
Thinking Out Loud vs. Let’s Get It On (2016-2023)
อาจกล่าวได้ว่าคดีนี้เสมือนเป็นภาคต่อของคดี “Blurred Lines” ในเดือนมิถุนายน 2016 เอ็ด ทาวน์เซนด์ (Ed Townsend) ผู้ร่วมเขียนเพลง “Let’s Get It On” กับมาร์วิน เกย์ได้ยื่นฟ้อง เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran) และ เอมี่ แวดจ์ (Amy Wadge) ผู้ร่วมเขียนเพลง โดยอ้างว่า “Thinking Out Loud” คัดลอกเมโลดี้ ทำนอง และจังหวะของเพลงของ มาร์วิน เกย์ คดีนี้ถูกยกฟ้องในปี 2017 2 ปีต่อมา เอ็ด ชีแรนก็ถูกฟ้องร้องอีกครั้งในข้อหาเดียวกัน ครั้งนี้เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านเหรียญ และในที่สุดคดีนี้ได้รับการพิจารณาโดยคณะลูกขุนในนครนิวยอร์กในปีนี้ซึ่งได้ตัดสินให้ เอ็ด ชีแรน และ เอมี่ แวดจ์เป็นฝ่ายชนะในการพิจารณาคดีที่ต่อเนื่องมายาวนาน
ประเด็นสำคัญของคดีคือการตัดสินว่าเพลง “Thinking Out Loud” ละเมิดลิขสิทธิ์เพลง “Let’s Get It On” หรือไม่ แม้ว่าฝ่ายจำเลยคือชีแรนและแวดจ์จะใช้คอร์ดที่คล้ายกันสำหรับเพลง “Thinking Out Loud” แต่พวกเขาก็โต้แย้งได้สำเร็จว่าคอร์ดเหล่านั้นเป็นของเครื่องมือของนักแต่งเพลงที่ทุกคนสามารถหยิบนำมาใช้ได้ในการสร้างสรรค์ผลงาน เฉกเช่นเดียวกันกับสีสันที่เป็นเครื่องมือหรือวัตถุดิบของศิลปิน และสิ่งนี้มีมาก่อนที่เกย์กับทาวน์เซนด์จะนำมาใช้ในการแต่งเพลง “Let’s Get It On” ในปี 1973 เสียด้วยซ้ำ
นักแต่งเพลงและวงการเพลงได้ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด โดยคาดหวังว่าจะส่งผลต่อเสรีภาพในการสร้างสรรค์ของนักดนตรี ในระหว่างการพิจารณาคดีชีแรนได้แย้งว่า แม้ว่าองค์ประกอบของเพลงทั้ง 2 จะฟังดูเหมือนกัน แต่เพียงแค่ความคล้ายคลึงอย่างเดียวไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ชีแรนได้อ้างถึงเพลง “Let It Be” ของเดอะบีทเทิลส์ (The Beatles) และเพลง “No Woman, No Cry” ของ บ็อบ มาร์เลย์ (Bob Marley) ว่าเป็นเพลง 2 เพลงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งตามตรรกะของฝ่ายโจทก์แล้วอาจถือว่ามีความคล้ายกันก็ได้ สิ่งที่น่ากังวลหากฝ่ายชีแรนแพ้ในคดีนี้คือการที่การลงโทษทางลิขสิทธิ์จะพรากโลกแห่งความสร้างสรรค์ในอนาคตไปดังคำกล่าวของ ไอลีน เอส. ฟาร์คาส (Ilene S. Farkas) ทนายความของชีแรนที่ได้กล่าวว่า “ความคิดสร้างสรรค์จะถูกปิดกั้นเพราะกลัวว่าจะถูกฟ้อง”
ชีแรนต้องหาวิธีมาพิสูจน์ว่าเพลงของเขานั้นไม่ได้ลอกเพลงของเกย์ สิ่งที่ชีแรนทำคือการแสดง mash-up ร้องและเล่นกีตาร์อะคูสติกโดยเล่นผสมเพลง “Thinking Out Loud” ของเขากับเพลง “Let’s Get It On” ของเกย์รวมไปถึงเพลงอื่น ๆ ที่มีทางเดินคอร์ดเดียวกัน ในระหว่างการให้การเป็นพยานในศาลเพื่อแสดงให้เห็นว่าคอร์ดชุด 4 คอร์ดที่ใช้ในทั้ง 2 เพลงนี้เป็นเรื่องปกติในการแต่งเพลงที่ไม่ได้มีแค่เพลงของเขาหรือเพลงของเกย์เท่านั้นที่ใช้มัน ในที่สุดคณะลูกขุนในแมนฮัตตันก็ได้มีคำตัดสินในคดีนี้โดยตัดสินให้ชีแรนพ้นข้อกล่าวหาหลังจากการพิจารณา 3 ชั่วโมง หลังจากชนะคดี ชีแรนได้บอกกับนักข่าวนอกศาลรัฐบาลกลางแมนฮัตตันว่า มีเพลงมากมายที่มี “เนื้อร้อง ทำนองและทางเดิน 4 คอร์ดที่แตกต่างกันอย่างมาก และนักแต่งเพลงทั่วโลกก็ใช้กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน”
“คอร์ดเหล่านี้เป็นองค์ประกอบหลักทั่วไปที่ใช้ในการสร้างสรรค์บทเพลงมานานก่อนที่จะมี ‘Let’s Get It On’ เสียอีก และมันจะมีการใช้ในการทำเพลงต่อไปอีกนานหลังจากที่พวกเราจากไปแล้ว” ชีแรนกล่าว “พวกมันคือ ‘ตัวอักษร’ ของนักแต่งเพลง ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือของเรา และควรจะมีไว้ให้เราทุกคนใช้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของพวกมันหรือวิธีการเล่นมัน เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของสีฟ้า”
ดังนั้นชัยชนะของชีแรนจึงไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นชัยชนะของนักแต่งเพลงและนักดนตรีด้วย เพราะมันทำให้พวกเขามีความชัดเจนและมั่นใจในผลงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น นอกจากนี้ยังยืนยันในข้อที่ว่าศิลปินสามารถดึงเอาแรงบันดาลใจมาจากผลงานที่มีอยู่แล้วมาใช้สร้างสรรค์ผลงานใหม่ได้ ตราบใดที่ผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาใหม่นั้นไม่ได้เป็นการลอกเลียนแบบหรือละเมิดลิขสิทธิ์
คดีของชีแรนได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาจุดสมดุลทางกฎหมายลิขสิทธิ์เพลง ที่ต้องหาความลงตัวระหว่างการรักษาบรรยากาศในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในขณะเดียวกันก็ปกป้องสิทธิ์ของศิลปินและผู้แต่งเพลง
ที่มา
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส