Deadline ได้รายงานว่า ‘Fast X’ เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในสหรัฐฯ (19 – 21 พ.ค. 2023) ด้วยรายได้ไม่สูงนัก ซึ่งตรงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยทำไป 67.5 ล้านเหรียญ ซึ่งยังตามหลังภาคก่อนอย่าง ‘F9: The Fast Saga’ (2021) ที่ทำรายได้เปิดตัวในช่วงกาแพร่ระบาดของ Covid-19 ไปถึง 70 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ ที่ในช่วงนั้นมีจำนวนโรงภาพยนตร์ที่เปิดให้บริการน้อยกว่าด้วยซ้ำ
นี่เป็นรายได้เปิดตัวลำดับที่ 7 ของแฟรนไชส์ โดยอันดับที่ 1 คือ ‘Furious 7’ (2015) ซึ่งทำไว้ 147.2 ล้านเหรียญ รองลงมาคือ ‘The Fate of the Furious’ (2017) ที่ทำไว้ 98.8 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ดี รายได้ทั่วโลกนั้นอยู่ในระดับน่าพึงพอใจ อยู่ที่ 267.3 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่สูงถึง 340 ล้านเหรียญ (ยังไม่รวมค่าโปรโมตทั่วโลกอีก 100 ล้านเหรียญ)
‘Fast X’ เป็นภาคล่าสุดที่เปลี่ยนจากแนวซิ่งรถ (Street Racing) ใน 3 ภาคแรก (The Fast and the Furious, 2 Fast 2 Furious และ The Fast & the Furious: Tokyo Drift) มาเป็นแอ็กชันจารกรรมเต็มตัวตั้งแต่ Fast Five เป็นต้นมา ซึ่งทีมงานได้สร้างสรรค์ฉากแอ็กชันขับรถออกมาได้อย่างสุดมันส์ และมีความทะเยอทะยานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้ไปแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าแฟรนไชส์อาจเริ่มมาถึงทางตัน จึงต้องรอดูกันว่าภาค 11 และ 12 ที่จะปิดแฟรนไชส์ลงอย่างสมบูรณ์นั้น จะสามารถยกระดับจาก ‘Fast X’ ได้อย่างไรบ้าง
สำหรับ ‘Guardians of the Galaxy Vol. 3’ และ ‘The Super Mario Bros. Movie’ ยังเก็บรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยทำรายได้ทั่วโลกไปแล้วถึง 659 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 250 ล้านเหรียญ และ 1,229 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ
ที่มา : ScreenRant, Box Office Mojo
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส