มีการเอ่ยถึงเนื้อหาบางส่วนใน Fast X
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแฟรนไชส์ Fast นอกเหนือจากฉากแอ็กชันที่บ้าระห่ำ เวอร์วัง ไร้กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ใด ๆ แล้ว ก็คือฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่าอันดุเดือดนี่แหละ และหนึ่งในนักแสดงที่เราได้เห็นเธอได้โชว์ฉากต่อสู้อยู่เป็นประจำก็คือ มิเชล โรดริเกซ (Michelle Rodriguez) ผู้รับบท เล็ตตี้ ที่เธอเองก็เคยฝากฉากแอ็กชันสุดมันส์มาแล้วใน Furious Seven (2015) ในภาคนั้น เธอได้ต่อสู้กับ คารา ตัวร้ายฝ่ายหญิงที่รับบทโดย รอนดา เราซีย์ (Ronda Rousey) นักมวย MMA หญิงตัวจริงเสียงจริงที่หันมาเอาดีทางการแสดง และเป็นหนึ่งในฉากที่แฟน ๆ ยกนิ้วให้ว่าเป็นฉากต่อสู้ที่ดีที่สุดของแฟรนไชส์ Fast เลยก็ว่าได้
ผ่านมาจนถึง Fast X บทในภาคนี้ก็เปิดโอกาสให้โรดริเกซในวัย 44 ปี ได้โชว์ลีลาพะบู๊อันดุเดือดอีกครั้ง และรอบนี้คู่ต่อสู้ของเธอก็คือ ชาร์ลิซ เธอรอน (Charliz Theron) นักแสดงดีกรีออสการ์ในวัย 47 ปี เจ้าของบท ‘ไซเฟอร์ ‘อีกหนึ่งวายร้ายตัวฉกาจของแฟรนไชส์ ที่ดูเหมือนว่าทางผู้สร้างจะพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้เธอย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับดอมอีกแล้ว ในฉากนี้ เล็ตตี้ฟื้นขึ้นมาในศูนย์พยาบาลของ CIA โดยมีไซเฟอร์นอนอยู่บนเตียงข้างเธอ ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังหาทางหลบหนีออกจากศูนย์ เล็ตตี้ซึ่งมีบัญชีแค้นอยู่แล้วกับไซเฟอร์ ก็เป็นฝ่ายเปิดฉากจู่โจมเข้าใส่ไซเฟอร์ก่อน กลายเป็นฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่า และใช้ข้าวของรอบตัวเป็นอาวุธ ที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์ไม่แพ้ฉากต่อสู้ของตัวละครชาย แต่รู้หรือไม่ครับว่า ฉากนี้เป็นการที่ มิเชลล์ โรดริเกซ และ ชาร์ลิซ เธอรอน ตัดสินใจขอแสดงกันเองโดยไม่ต้องมีผู้กำกับ
เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า หนัง Fast X มีปัญหาในการเปลี่ยนตัวผู้กำกับกลางคัน จัสติน ลิน (Justin Lin) ผู้กำกับดั้งเดิมมีปัญหากับ วิน ดีเซล (Vin Diesel) ขอลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับกะทันหัน หลังเปิดกล้องไปได้ไม่นาน ทำให้ทีมผู้สร้างต้องเร่งหาผู้กำกับใหม่อย่างเร่งด่วน แล้วก็ได้ตัว หลุยส์ เลเทอร์เรียร์ (Louis Leterrier) มาเสียบแทนภายในสัปดาห์เดียว แม้ว่ากองถ่ายจะเว้นว่างผู้กำกับเพียงแค่สัปดาห์เดียว แต่ว่าบรรดานักแสดงทั้งหลาย คงจะเบื่อกับการรอคอยแล้ว ก็เลยขอถ่ายทำฉากนี้กันเอง โดยมีผู้กำกับหน่วยที่ 2 ทำหน้าที่ดูแลควบคุมแทน
ซึ่ง มิเชลล์ โรดริเกซ ก็เป็นผู้ที่เปิดเผยเรื่องนี้เองระหว่างที่ให้สัมภาษณ์กับ Vanity Fair
“ฉันจะบอกคุณยังไงดี พูดแบบตรง ๆ เลยนะว่า ชาร์ลิซนี่เธอเป็นสัตว์ประหลาดตัวจริงเลย เราถ่ายทำฉากต่อสู้นี้กันโดยไม่มีผู้กำกับนะ”
ในขณะที่ตัวโรดริเกซ ตัดสินใจขอถ่ายทำฉากนี้กับเธอรอนโดยไม่ต้องรอผู้กำกับแล้ว เธอก็เอ่ยกับทีมงานว่า
“พรรคพวก เราทำกันได้อยู่แล้ว วางไมค์ แล้วใส่กันเลยดีกว่า”
“เราอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เราไม่ต้องการผู้กำกับแล้ว ลงมือกันเลย เรามีผู้กำกับหน่วยที่ 2 แล้ว เอาน่า เราให้งานมันเดินหน้าไปก่อนระหว่างที่รอหลุยส์เข้ามารับงานต่อ และชาร์ลิซเธอก็เป็นมืออาชีพมาก ฟันศอกได้คมกริบ และมีจรรยาบรรณในการทำงานที่เหนือชั้นมาก”
โรดริเกซเผยเหตุผลที่เธอตัดสินใจถ่ายทำฉากต่อสู้นี้เอง และปลาบปลื้มมากที่สตูดิโอได้ตัวเลเทอร์เรียร์มารับช่วงได้ทันท่วงที
“คือตอนนั้นเราพร้อมกันแล้ว เราอยากถ่ายกันต่อ แต่ผู้กำกับของพวกเราเพิ่งลาออกไป ปวดหัวกันล่ะสิทีนี้”
“น้ำตาไหลกันเลยล่ะตอนนั้น เพราะเราต่างก็ไม่อยากให้สถานการณ์มันลงเอยด้วยความวุ่นวายแบบนี้ เพราะทางสตูดิโอก็เร่งมาอยากให้จบเร็ว ๆ หรือเพราะเขากังวลเรื่องงบที่บานปลายกันเกินไปจนลืมสนใจคุณภาพของหนังกันไปแล้ว ฉันก็แอบสงสัยนะ ว่าเขาจะหาผู้กำกับที่มีความกระตือรือร้นเพียงพอ และใส่ใจกับหนังเพียงพอที่จะมารับช่วงต่อได้ไหม ?”
แล้วเธอก็เล่าต่อว่า แล้วเลเทอร์เรียร์ก็เป็นผู้เปิดประตูเดินเข้ามา
“เขามาช่วยเราแล้ว เขามาช่วยแก้ไขความซวยให้เราแล้ว”
หลังจากฉากต่อสู้กับโรดริเกซแล้ว เธอรอนก็ยังคงถ่ายฉากแอ็กชันอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างที่รอให้เลเทอร์เรียร์เข้ามารับหน้าที่ ฉากต่อมาที่เธอถ่ายทำก็คือฉากที่เธอต้องต่อสู้กับบรรดาลูกน้องชายของตัวเอง และขณะที่ถ่ายทำฉากนี้ เลเทอร์เรียร์ก็เข้ามาเยี่ยมชมกองถ่ายและทักทายกับทีมงาน และได้ดูเธอรอนแสดงฉากแอ็กชันนี้ด้วยตัวเธอเอง ก็ยิ่งทำให้เขาอึ้งมากกับความสามารถของนักแสดงหญิงผู้นี้
“มันเหมือนการบรรลุเป้าหมายแล้วน่ะครับ จาก F9 ที่เหมือนเราเอาเธอไปใส่ไว้ในกล่อง แล้วเราก็พยายามเอาเธอออกมาได้โชว์ความร้ายกาจ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าชาร์ลิซเองเธอก็ต้องการอย่างนั้นด้วย”
“ตอนที่ผมมาถึงกองถ่าย ตอนนั้นชาร์ลิซกำลังถ่ายทำฉากที่ ไซเฟอร์ต้องสู้กับลูกน้องของเธอเอง ทำเอาผมตะลึงพอควรเลยล่ะ ทั้งที่ผมเองก็ผ่านงานหนังแอ็กชันมาแล้วนะ แต่ผมไม่เคยเห็นนักแสดงคนไหนทุ่มเทกับงานแสดงขนาดนี้ โอ้ พระเจ้า ผมนี่หันไปถามผู้กำกับหน่วยที่ 2 เลย ‘นี่มันไม่เกินไปหน่อยเลย ? เราให้เธอทำมากเกินไปรึเปล่า ? เขาก็ตอบว่า ‘ไม่เลยครับ เธอชอบแบบนี้แหละ’ กลายเป็นว่านี่คือความต้องการของชาร์ลิซเอง เธออยากจะทำทุกอย่างเท่าที่เธอพอจะทำได้เอง กลายเป็นว่าทีมงานต้องคอยห้ามปรามเธอไว้ ไม่งั้นเธอจะแสดงทุกฉากสตันท์ของไซเฟอร์เองหมด”
และดูเหมือนว่า หลุยส์ เลเทอร์เรียร์ จะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง เพราะเขาสามารถเข้ากับทีมงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับ วิน ดีเซล ที่พึงพอใจในตัวผู้กำกับคนนี้ ถึงกับประกาศให้เลเทอร์เรียร์ได้กำกับ Fast X : Part 2 ต่อเลยตั้งแต่ Part 1 ยังไม่ออกฉาย
Fast X : Part 1 กำลังกวาดรายได้ทั่วโลก ตัวเลขขณะนี้พ้นหลัก 300 ล้านเหรียญไปแล้ว สตูดิโอได้ทุนสร้างคืนแล้วล่ะ ที่เหลือนี้ก็ลุ้นกันว่าหนังจะทำกำไรไปได้มากน้อยเพียงใด