เชื่อว่าหลายคนคงได้ดู ‘The Flash’ กันแล้ว นอกจากบรรดาเซอร์ไพร์สสุดไฮป์ที่ขนมาให้กรี๊ดกันทั้งเรื่องแล้ว ตอนจบที่ แบรี อัลเลน ต้องมาพบ บรูซ เวย์น และพบว่าไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จักก็เป็นอึกสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเซอร์ไพร์สที่หลายคนคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว Beartai Buzz ขอรวบรวมข้อมูลสุดจึ้งที่ทำให้การปรากฎตัวของ จอร์จ คลูนีย์ (George Clooney) เรียกเสียงกรี๊ดลั่นโรง
ทำไม George Clooney ถึงปรากฎตัวในจักรวาลปัจจุบันของ The Flash
ตรงนี้ยังไม่มีคำตอบชัดเจนแต่หากลองวิเคราะห์ดูจากความต่อเนื่องของเวลาที่แบรี่ได้ทำการเปลี่ยนอดีตจากใช้สปีดฟอร์ซแล้วไปพบกับ บรูซ เวย์นหรือ แบทแมน ในฉบับของ ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) ซึ่งเป็นแบทแมนในหนังของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton)ถึง 2 เรื่องได้แก่ ‘Batman’ ปี 1989 และ ‘Batman Returns’ ปี 1992 จากนั้นคนที่มารับช่วงต่อคือ วัล คิลเมอร์ (Val Kilmer) ใน ‘Batman Forever’ ในมือผู้กำกับ โจเอล ชูมัคเกอร์ (Joel Schumacher) ก่อนจะมาเป็น จอร์จ คลูนีย์ ใน ‘Batman & Robin’
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า คิลเมอร์ป่วยเป็นมะเร็งกล่องเสียงจนไม่อาจมาแสดงเป็น บรูซ เวย์น ได้ ดังนั้นการปรากฎตัวของคลูนีย์ก็ถือว่าเป็นการเล่นกับสินทรัพย์ของ DC เหมือนการปรากฎตัวของ Superman, Batman หรือ The Flash ยุคต่าง ๆ ในฉากโครโนสเฟียร์ (Chronosphere) นั่นเอง และยังถือเป็นความต่อเนื่องในเชิงตรรกะเวลาและจักรวาลที่เปลี่ยนไปโดยในโลกภาพยนตร์ คลูนีย์ก็ถือเป็นแบทแมนคนที่ 4 ในจักรวาลภาพยนตร์แบทแมนอีกด้วย แต่หากฟังประโยคคำถามของแบรีที่ว่า ‘คุณไม่ใช่แบทแมนนี่?’ แล้ว บรูซ เวย์น ของคลูนีย์ตอบว่า ‘บ้าหรือเปล่า’ ตรงนี้แอบมีประเด็นที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อไป
Batman คนที่ 4 กับสารพัดคำวิจารณ์
จอร์จ คลูนีย์ ได้รับการแคสต์ให้มารับบท บรูซ เวย์น (Bruce Wayne) ใน ‘Batman & Robin’ ของผู้กำกับ โจเอล ชูมัคเกอร์ (Joel Schumacher) ออกฉายเมื่อปี 1997 โดยหนังถูกนักวิจารณ์สับเละและทำรายได้ไม่สู้ดีนักจนปิดประตูแฟรนไชส์แบทแมนไปร่วม 8 ปีก่อนที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) จะเปิดประตูไตรภาค Dark Knight กับ ‘Batman Begins’ ในปี 2005
จุดที่สร้างรอยด่างพร้อยให้หนังตระกูล Batman ได้แก่บทภาพยนตร์ที่ตื้นเขิน ไร้สาระ และที่สำคัญคือการออกแบบงานสร้างที่มีกลิ่นอายโฮโมอีโรติก (Homoerotic) เช่นชุดแบทแมนที่มีการเพิ่มหัวนมเข้าไปในชุดหรือกระทั่งแบทโมบิลเองก็ยังดูเหมือนลายชุดรัดรูปบอดีสูทที่ดูยังไงก็ต่างจากแบทโมบิลเท่ ๆ แบบแบทแมนภาคก่อนจนนักวิจารณ์และแฟนคอมิกดีซีสาปส่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง
‘Batman & Robin’ รอยด่างพร้อยในชีวิตการแสดงของ George Clooney
ความจริง ‘Batman & Robin’ น่าจะเป็นบันไดก้าวสำคัญสำหรับ จอร์จ คลูนีย์ นักแสดงซีรีส์สุดฮิตอย่าง ‘ER’ ที่เขาเคยรับบทคุณหมอในห้องฉุกเฉินสุดหล่อจนทำให้สาว ๆ ระทวยกันทั่วบ้านทั่วเมือง จึงไม่แปลกใจที่เขาจะได้รับเลือกให้มารับบทสำคัญอย่าง บรูซ เวย์น หรือ แบทแมนคนที่ 4 อย่างที่กล่าวไป แต่หลังจากหนังประสบความล้มเหลว คลูนีย์ถึงกับเสียหลักและแก้ไขปัญหาด้วยการเลือกบทในหนังที่น่าจะขายฝีมือมากขึ้นจนได้กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งกับ ‘Out of Sight’ ในปี 1998 หนังอาชญากรรมโรแมนติกของผู้กำกับ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก (Steven Soderbergh)
ในปี 2020 เขายอมรับกับสื่อโดยตรงเลยว่าไม่สามารถกลับไปชม ‘Batman & Robin’ ได้อีกแล้ว เพราะเมื่อดูทีไรก็นึกถึงความย่ำแย่ทั้งการแสดงของเขาเองและบทภาพยนตร์ แม้แต่ อกิวา โกลส์แมน (Akiva Goldsman)ก็ยังยอมรับเลยว่าเขียนออกมาได้แย่มากเหมือนกัน
ย้อนรอยคำสัมภาษณ์สุดโต่งของ George Clooney ว่า Batman เวอร์ชันเขาเป็นเกย์
อีกหนึ่งความสุดโต่งจากปากคลูนีย์เกิดขึ้นในปี 2006 ที่เขาให้สัมภาษณ์กับ ‘Barbara Walters’ Oscar special tonight’ ตอบคำถามที่ว่าเขาเคยแสดงบทเกย์มาก่อนหรือไม่ คลูนีย์ตอบทันทีว่า
“ผมเคยแสดงแล้วครับ แบทแมนไงล่ะ ผมใส่ทั้งชุดยางที่มีหัวนม ผมจะแสดงให้เขาเป็นชายแท้ก็ได้ แต่ผมทำให้เขาเป็นเกย์”
จอร์จ คลูนีย์
นอกจากนี้ยังมีนักวิจารณ์บางคนจับสังเกตได้อีกว่าทั้ง ‘Batman Forever’ และ ‘Batman & Robin’ ที่ โจเอล ชูมัคเกอร์ เป็นผู้กำกับเต็มไปด้วยบริบทที่แสดงให้เห็นว่าแบทแมนอาจมีแนวโน้มเป็น ไบเซ็กชวล (Bisexual) โดยยกฉากจาก ‘Batman Forever’ ที่ตอนท้ายตัวร้ายอย่างเดอะ ริดเลอร์ที่แสดงโดย จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) บังคับให้ บรูซ เวย์น เลือกระหว่าง ดร. เชส เมอริเดียน (นิโคล คิดแมน – Nicole Kidman) กับ ดิ๊ก เกรย์สัน (คริส โอ ดอนเนล -Chris O’Donnell) ก็บอกเป็นนัยถึงทางเลือกระหว่างคนรักผู้หญิง ในชีวิตแบบชายแท้ และ คนรักในโลกที่ต้องแอบซ่อน โดยเฉพาะชีวิตฮีโรที่ต้องสวมหน้ากากไม่ต่างจากชาว LGBTQ + ที่ต้องแอบซ่อนตัวตนอีกด้วย
ดังนั้นแม้จะถือเป็นเซอร์ไพร์สเพื่อเซอร์วิสแฟนหนังของ DC แต่ ณ ขณะนี้เรายังคงคาดหวังอะไรไม่ได้ เพราะ ‘The Flash’ เองก็ยังไม่ได้ถูกวางเป็นโครงการระยะยาว และ ‘The Brave and the Bold’ โครงการหนังแบทแมนเรื่องต่อไปของ แอนดี มุสชิเอตติ (Andy Muschietti) ผู้กำกับ ‘The Flash’ ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่อีกด้วย การปรากฎตัวของคลูนีย์เลยเหมือนเป็นอีสเตอร์เอ้กให้สาวกของดีซีได้ย้อนรำลึกถึงหนังแบทแมนภาคที่แย่ที่สุดแต่กลับสนุกแบบหน้าไม่อายเท่านั้นเอง
ที่มา
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส