ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์ซูเปอร์ของ DC ในจักรวาล DCEU (DC Extended Universe) มักจะทำรายได้รายในสัปดาห์ที่ 2 ลดต่ำลงมากกว่าสัปดาห์แรกค่อนข้างมาก ซึ่งตัวเลขเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ 59.4% จากภาพยนตร์จำนวน 12 เรื่อง โดยมีเพียง ‘Wonder Woman’ (2017) และ ‘Aquaman (2018) ที่มีสถิติรายได้ในสัปดาห์ที่ 2 ค่อนข้างดีกว่าเรื่องอื่น โดยลดลงเพียง 43.3% และ 45.5% ตามลำดับ
แต่สำหรับภาพยนตร์ลำดับท้าย ๆ ของ DCEU ก่อนจะถูกรีบูตเป็น DCU (DC Universe) อย่าง ‘The Flash’ นั้น กลับตกอยู่ในสถานการณ์ด้านรายได้ที่ยากลำบากอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่หลายสื่อเคยคาดการณ์ว่าอาจเป็นภาพยนตร์ที่ช่วยกอบกู้ DCEU เอาไว้
จากข้อมูลบน Box Office Mojo ระบุว่า ‘The Flash’ ทำรายได้ในสัปดาห์ที่ 2 ไป 15.1 ล้านเหรียญ จากที่เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกด้วยรายได้ 55 ล้านเหรียญ โดยคิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่ลดลงไปถึง 72.3% ซึ่งเป็นสถิติที่แย่ที่สุดใน DCEU และแย่ยิ่งกว่าภาพยนตร์ 2 เรื่องก่อนหน้านี้อย่าง ‘Black Adam’ (2022) และ ‘Shazam! Fury of the Gods’ (2023) ที่ทำรายได้ในสัปดาห์ที่ 2 ลดลงไป 59% และ 69% ตามลำดับ
หากมองในแง่ดีแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ (2016) ก็เคยถือทำรายได้สัปดาห์ที่ 2 ลดต่ำลงถึง 68.4% จากรายได้เปิดตัวที่มหาศาลถึง 166 ล้านเหรียญ แต่ก็สามารถทำรายได้รวมทั่วโลกสูงถึง 879.6 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 250 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ยังมี ‘Suicide Squad’ (2016) ที่ทำรายได้สัปดาห์ที่ 2 ลดลงถึง 67.3% จากรายได้เปิดตัว 179 ล้านเหรียญ แต่สามารถทำรายได้ทั่วโลกสูงถึง 746.8 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 175 ล้านเหรียญ
ในตอนนี้ ‘The Flash’ ทำรายได้รวมในสหรัฐฯ ไป 87.6 ล้านเหรียญ และทำรายได้ทั่วโลกไป 210.9 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังมาก และแทบจะปิดประตูการสร้าง ‘The Flash 2’ ที่อาจแยกเนื้อเรื่องเป็นจักรวาลของตัวเอง ลงไปอย่างถาวรก็เป็นได้
ที่มา : ScreenRant
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส