หากพูดถึงหนังที่ปลุกแรงบันดาลใจให้เราทุกคน อยากออกไปผจญภัยท่องโลก และค้นหาโบราณวัตถุตามประวัติศาสตร์ หนังแฟรนไชส์เรื่องนั้นคงหนีไม่พ้น ‘Indiana Jones’ ที่ได้ แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) นักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูด มารับบบท ‘อินเดียนา โจนส์’ อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้มีเบื้องหลังเป็นนักโบราณคดีที่มีใจรักในการผจญภัย
นับตั้งแต่หนังภาคแรกอย่าง ‘Indiana Jones and Raiders of the Lost Ark’ ออกฉายเมื่อปี 1981 ตัวหนังก็ประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นหนังระดับแฟรนไชส์ที่มีภาคต่อยาวนาน จนปัจจุบันเดินทางมาถึงภาค 5 แล้ว กับ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ และนี่จะเป็นหนัง อินเดียนา โจนส์ ภาคสุดท้ายของ แฮร์ริสัน ฟอร์ด อีกด้วย
หนุ่ย พงศ์สุข ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนประเทศไทยนั่งพูดคุยกับสุดยอดพระเอกตลอดกาลวัย 80 ปี คนนี้ เกี่ยวกับการกลับมาสวมหมวกปีกกว้าง ออกตามหาโบราณวัตถุ และฟาดแส้ใส่คนร้ายครั้งสุดท้ายของเขา
สวัสดีครับ ผมหนุ่ยจาก beartai คุณเคยมาประเทศไทยไหม?
แฮร์ริสัน: แน่นอน! ที่นั่นเป็นหนึ่งประเทศที่สวยที่สุดในโลกเลย ผมรักประเทศไทย ผมรักคนไทย ผมรักอาหารไทย
ผมมีเรื่องที่อยากจะเล่าให้คุณฟังเรื่องหนึ่ง ตอนที่ผมอายุ 6 ขวบ คุณแม่พาผมไปที่โรงหนัง ตอนนั้น ‘Indiana Jones and the Temple of Doom’ กำลังฉายเหมือนตอนนี้ หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนั่งติดอยู่กับที่ไม่วิ่งเล่นในโรงอีกเลย นี่คือหนังเรื่องแรกในชีวิตที่ผมประทับใจมาก ๆ คุณสอนผมให้รู้ว่าการดูหนังคืออะไร
แฮร์ริสัน: ขอบคุณครับ ผมบอกเสมอว่าหนัง ‘Indiana Jones’ เป็นมากกว่าแค่หนัง มันเกี่ยวกับโบราณคดี มันคือหนังอันน่าอัศจรรย์ ที่จะพาคุณย้ายจากที่ที่คุณอยู่ ไปสู่การผจญภัยอีกโลกหนึ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อีกทั้งมีตัวละครใหม่ ๆ ได้มาเจอกันเป็นครั้งแรก มันคือที่ที่ยอดเยี่ยมในการเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต เรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ และพลังของการสร้างหนัง
ผมเห็นด้วยมาก ๆ เลย ผมได้ชม ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ แล้ว ผมรู้สึกว่าทุกวินาทีในนั้นมีค่ามาก และผมประทับใจการเล่นฉากแอ็กชันของคุณ ผมได้ยินข่าวว่าคุณได้รับบาดเจ็บจากการแสดงหนังเรื่องนี้ด้วย คุณทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แฮร์ริสัน: ผมและคนอีกมากมายได้ทำงานร่วมกัน เพื่อที่จะทำหนังเรื่องนี้มาให้ทุกคน มันเป็นเกียรติมาก ๆ เป็นเกียรติจริง ๆ
แฟรนไชส์นี้เปรียบเหมือนเป็นมรดกของคุณกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก และตอนนี้มันได้ถูกส่งต่อมาที่ เจมส์ แมนโกลด์ แล้ว การทำงานกับเขาเป็นอย่างไรบ้าง
แฮร์ริสัน: มันน่าทึ่งมาก เจมส์กับผมเคยทำงานร่วมกันสั้น ๆ ในหนังก่อนหน้านี้อย่าง ‘The Call of the Wild’ เราสองคนรู้จักกันดี และตอนที่สตีเวนกำลังติดถ่ายหนัง ‘The Fabelmans’ ตอนที่เราทำหนังเรื่องนี้ เวลาของเราก็จวนจะหมดแล้ว เราได้ลองสคริปต์ที่เขียนไว้ก่อนหน้าสองสามตัว และเป็นสคริปต์ที่เรายังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ สตีเวนพาเจมส์เข้ามา และเจมส์ก็ได้เขียนสคริปต์ตัวที่พวกคุณได้เห็นในหนัง มันเป็นโอกาสที่เยี่ยมมาก เจมส์ยังดึงนักแสดงเก่ง ๆ หลายคนเข้ามาร่วมด้วย ทั้ง ฟีบี้ วอลเลอร์-บริดจ์ (Phoebe Waller-Bridge) และ แมดส์ มิคเคลเซน (Mads Mikkelsen) เป็นการรวมทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก
พูดถึงการถ่ายทำด้วยเอฟเฟกต์ De-aging ที่ใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนหน้าคุณให้กลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง คุณช่วยเล่าถึงประสบการณ์ในครั้งนี้หน่อยได้ไหม
แฮร์ริสัน: ผมบอกคุณได้อย่างหนึ่ง ครั้งแรกที่ผมได้เห็นเทคโนโลยี De-aging นี้ มันใช้งานได้จริง ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีมีความซับซ้อนมากขึ้น ในกรณีของเรา มันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปมาก เพราะผมทำงานให้กับ Lucasfilm มาหลายปี จึงมีคลังภาพขนาดใหญ่ของผม ที่ AI สามารถดึงออกมาจากคลัง เพื่อหาภาพมุมหน้าที่มีแสงตรงกันได้ สิ่งที่เราทำไม่ใช่การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเปลี่ยนอายุของผม เพราะที่เราเห็นกันนั่นคือผมตอนอายุเท่านั้นจริง ๆ ภาพเหล่านี้เป็นภาพจริงใบหน้าของผม ไม่ใช่ภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ดังนั้นมันถึงเหมือนจริงและให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก ๆ
ผมวันนี้ในวัย 45 ปี ผมสนุกมากกับการได้ดูแฟรนไชส์ ‘Indiana Jones’ ที่ผมดูมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่ทำหนังเรื่องนี้
แฮร์ริสัน: ผมสนุกมากที่ได้นั่งคุยกับคุณนะ ขอบคุณมาก ๆ
ใครที่อยากเห็นฟอร์ดกับบทบาทอินดี้ครั้งสุดท้าย สามารถรับไปชม ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
ขอขอบคุณดิสนีย์ ประเทศไทย สำหรับการอำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครั้งนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส