หลังจากรายได้ของ The Flash ในสัปดาห์ที่ 2 ตกลงถึง 72% อาจทำให้วอร์เนอร์บราเธอส์ขาดทุนไปเกือบ 200 ล้านเหรียญ แม้ว่ารายได้ของ The Flash ในสัปดาห์ที่ 2 จะทำรายได้พ้นหลัก 200 ล้านเหรียญไปแล้วก็ตาม แต่หนังก็ใช้ทุนสร้างไปมหาศาลถึง 200 ล้านเหรียญ แล้วยังมีงบการตลาดอีกประมาณ 150 เหรียญ สถานะของ The Flash นั้นจึงเรียกได้ว่า “หายนะทางด้านการเงิน” ของวอร์เนอร์บราเธอส์ เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ ‘Justice League’ เมื่อปี 2017 การที่วอร์เนอร์บราเธอส์เลือกปล่อย The Flash ออกฉายทางโรงภาพยนตร์นั้นนับว่าเป็นการเดินเกมทางการตลาดที่ผิดพลาด เพราะถ้าเลือกนำ The Flash ไปสตรีมมิงทาง MAX วอร์เนอร์บราเธอส์จะเจ็บตัวน้อยกว่านี้อย่างแน่นอน
The Flash เริ่มส่อเค้าลางของความหายนะมาตั้งแต่ช่วงเปิดตัวในสุดสัปดาห์แรก เพราะคาดการณ์กันไว้ว่าหนังน่าจะทำเงินได้ประมาณ 60 – 70 ล้านเหรียญ แต่แล้ววงการก็ต้องอึ้งไปตาม ๆ กัน เมื่อหนังทำเงินไปได้แค่ 55 ล้านเหรียญเท่านั้น ผู้คนในวงการจึงพยายามวิเคราะห์หาสาเหตุกันว่าเพราะเหตุใด The Flash จึงทำรายได้ได้น้อยเกินคาดเพียงนี้ ซึ่งเป็นไปได้หลากหลายสาเหตุ
สาเหตุแรกนั้น The Flash มีปัญหามาตั้งแต่ขั้นตอนการสร้าง เออร์ซา มิลเลอร์ (Ezra Miller) นักแสดงนำนั้นก็ก่อคดีความเป็นขาวฉาวโฉ่มาอย่างต่อเนื่อง แฟน ๆ ดีซีเองต่างก็เสนอให้ทางดีซีเปลี่ยนตัวนักแสดงเถอะ เพื่อกู้อนาคตของหนังไว้ แต่วอร์เนอร์บราเธอส์ ดิสคัฟเวอรีก็ประกาศว่าจะยืนหยัดเคียงข้างมิลเลอร์ต่อไป และจะให้ความช่วยเหลือมิลเลอร์ในการดูแลปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของเขา ส่วน แอนดี้ และ บาร์บารา มุสชิเอตติ ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างก็ประกาศอีกว่าการเปลี่ยนตัวนักแสดงแทน เออร์ซา มิลเลอร์ นั้นไม่เคยอยู่ในแผนการของเขา
อีกสาเหตุหนึ่งนั้น มาจากบรรดานักวิจารณ์ที่ชี้นิ้วไปที่คุณภาพงาน CGI ของ The Flash แต่ผู้กำกับมุสชิเอตติก็ออกมาอธิบายว่า เอฟเฟกต์ในฉาก “Speed Force” ที่โดนผู้ชมและนักวิจารณ์ตำหนิว่าดูด้อยคุณภาพนั้น แท้จริงแล้วเป็นความตั้งใจของเขาที่ต้องการให้ภาพออกมาดูบิดเบี้ยวแบบนั้น แต่คำแก้ต่างของมุสชิเอตติก็ถูกหักล้างจาก แซค มัลลิแกน (Zach Mulligan) หนึ่งในทีมงานสเปเชียลเอฟเฟกต์ตัวจริงเสียงจริง ที่ออกมาแฉเองเลยว่า เป็นเพราะวอร์เนอร์บราเธอส์นั่นแหละ ที่กำหนดเส้นตายส่งงานแบบ “ประสาทแดก” และนั่นก็ส่งผลให้งานเอฟเฟกต์ออกมาดูห่วยแบบนั้น
แล้ว 2 คนสุดท้ายที่โดนร่างแหถูกตำหนิไปด้วยในเรื่องนี้ก็คือ เจมส์ กันน์ (James Gunn) และ ปีเตอร์ ซาฟราน (Peter safran) ซีอีโอคนใหม่ของสตูดิโอดีซี ที่เข้ามารับช่วงต่อเมื่อปลายปี 2022 แต่ทั้งคู่เองก็แสดงเจตนาชัดเจนมาตลอดแล้วว่า ไม่อยากจะรับนักแสดงนำในยุค แซค ชไนเดอร์ อย่าง เฮนรี่ คาวิลล์ และ กัล กาดอต แต่อาจจะมียกเว้นสำหรับ เออร์ซา มิลเลอร์ ที่อาจจะสานต่อบทบาท The Flash ในจักรวาลใหม่ของเขาได้ แล้วยังมีบทภาพยนตร์ภาคต่อที่เขียนรอไว้แล้วด้วย แต่ดูสภาพของ The Flash ในขณะนี้แล้ว ไม่น่าจะมีภาคต่อแล้วล่ะครับ