เมื่อวันพุธที่ 28 มิถุนายน มีการจัดงาน ‘An Evening with Arnold Schwarzenegger’ ขึ้นที่พิพิธภัณฑ์อะคาเดมี ในลอสแองเจลิส งานนี้จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติให้แก่ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ในฐานะนักแสดงฮอลลีวูดผู้ประสบความสำเร็จ ภายในงานนี้ยังเป็นการเปิดตัวหนังสือ ‘Arnold’ ชีวประวัติของอาร์โนลด์ 2 เล่มคู่ และมีการเสวนาถาม-ตอบ ปัญหาต่าง ๆ จบด้วยการฉายภาพยนตร์ ‘Terminator 2: Judgment Day’ ในระบบ 3D
ในช่วงพูดคุยกับชวาร์เซเนกกอร์นั้น เขาได้กล่าวชื่นชม เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ว่าเป็นผู้กำกับที่เก่งและมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม แล้วอาร์โนลด์ยังชี้ถึงความคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัดของเรื่องราวใน Terminator กับการเข้ามามีบทบาทอย่างมากของวิทยาการปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในปัจจุบันนี้
“ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างก็หวาดกลัวต่อ AI ว่ามันจะพัฒนาไปได้ไกลเพียงใด แล้วในหนัง Terminator เรื่องนี้เราก็พูดถึงจักรกลที่พัฒนาจนเกิดความตระหนักรู้ในตัวเองแล้วก็เข้าครอบครองโลก”
ถึงแม้ว่าเรื่องราวในหนังจะพยากรณ์เรื่องราวในอนาคตของมนุษยชาติไว้อย่างน่ากลัว แต่ชวาร์เซเนกเกอร์ก็ยังยกย่องว่า เจมส์ คาเมรอน นั้นมี “ความอัจฉริยะในการเขียน” เรื่องราวของหนัง The Terminator ภาคแรกเมื่อปี 1984 เพราะว่า “ในตอนนั้นมนุษย์โลกยังแทบไม่รู้จักปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เลย ลองคิดดูสิ”
“นับถึงวันนี้ก็ผ่านมาหลายทศวรรษแล้ว มันเริ่มกลายเป็นความจริงแล้ว มันไม่ใช่เรื่องราวชวนเพ้อฝันหรืออนาคตอีกต่อไป แต่มันอยู่ที่นี่แล้ว และนี่ล่ะที่ผมมองว่าเป็นงานเขียนที่ไม่ธรรมดาของ จิม คาเมรอน จริง ๆ”
“เขาเป็นนักเขียนบทที่ไม่ธรรมดา เป็นผู้กำกับที่เก่งกาจเหลือเชื่อ และวันนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมอยากจะยกย่องหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวผมขอรับไว้แค่เครดิตในฐานะผู้รับบทตัวละครตัวหนึ่งและวิธีการที่ผมแสดงออกมาแค่นั้น แต่สิ่งที่ผมต้องการสื่อจริง ๆ ก็คือ เขาได้สร้างสรรค์ตัวละครนี้ขึ้นมา เขาเขียนมันออกมาได้ดีมาก ๆ เขาเขียนเรื่องราวของหนังได้ดีจริง ๆ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขา เป็นอะไรคุณรู้ใช่ไหม ผู้กำกับอันดับ 1 ของโลกยังไงล่ะ”
เมื่อเดือนที่แล้ว อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ก็เพิ่งให้สัมภาษณ์กับ The Hollywood Reporter ซึ่งเขาได้เล่าถึงที่มาของประโยคดัง “I’ll Be Back” จากหนัง The Terminator (1984) ประโยคอันโด่งดังนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ ถ้าคาเมรอนไม่ยืนกรานให้เขาพูดคำนี้
“ตอนนั้นคาเมรอนกับผมถกเถียงกันเรื่องจะพูดคำนี้ออกมาแบบไหนดี เขาอยากให้ผมพูดย่อว่า ‘I’ll Be Back’ แต่ผมคิดว่าถ้าพูดคำเต็ม ๆ ‘I Will Be Back’ มันจะฟังดูดุดันกว่า”
หลังจากชวาร์เซเนกเกอร์แนะนำไป คาเมรอนก็สวนเขากลับมาว่า
“ตอนนี้คุณเป็นคนเขียนบทแล้วหรือไง ผมบอกไว้เลยนะ อย่ามาบอกว่าผมจะต้องเขียนบทพูดอย่างไร ขณะเดียวกันผมก็จะไม่บอกว่าคุณต้องแสดงอย่างไร”
ชวาร์เซเนกเกอร์เล่าต่อว่า จากนั้นเขาก็ได้ทีเลย พอคาเมรอนมาแนะนำเขาเรื่องการแสดงเขาก็จะตะคอกกลับใส่คาเมรอน “ทุกครั้งแม่งเลย”
พอเจอไม้นี้เข้า คาเมรอนก็เลยต้องไปคิดมุกใหม่มาว่าจะสื่อสารกับชวาร์เซเนกเกอร์แบบอ้อม ๆ อย่างไรดี
“อาร์โนลด์ คือวิธีนี้คุณอาจจะฟังดูว่ามันประหลาดสักหน่อยนะ แต่ที่จริงน่ะเปล่าเลย มันจะดีมากถ้าคุณออกเสียงให้ฟังดูต่างจากผมหรือคนอื่น ๆ ตรงประโยคนี้ วิธีนี้ล่ะผมว่าน่าจะได้ผล”
สิ่งที่คาเมรอนแนะนำให้เขาทำก็คือ “พูดประโยคนี้ 10 ครั้ง ในน้ำเสียงที่แตกต่างกัน ส่วนผมก็จะเดินกล้องไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะมาเลือกกันสักอันนึง”
“จากนั้นเขาก็ไปตั้งกล้อง ส่วนผมก็พูด ‘I’ll be back’ แบบราบเรียบ ‘I’ll be back’ แบบร่าเริง ‘I’ll be back’ แบบดุดัน ซึ่งมันฟังดูแล้วเป็นวิธีการที่งี่เง่ามากเลย”
แม้ว่าชวาร์เซเนกเกอร์จะคิดแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้ว “I’ll Be Back” ของเขาก็กลายเป็นประโยคฮิตทันทีที่หนังเข้าฉาย
สัญญาณที่บ่งบอกชวาร์เซเนกเกอร์ว่า ประโยคนี้ฮิตไปแล้วจริง ๆ ก็ในวันที่หนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว เขากำลังเดินเล่นอยู่ในเซ็นทรัลพาร์ก แล้วก็มีแฟนหนังคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเขาว่า “พูดประโยคนั้นหน่อยสิ!”
ที่มา : movieweb people academymuseum