ขณะนี้ ‘Eras Tour’ ทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) กำลังเดินหน้าอยู่ในสหรัฐอเมริกา และจะต่อเนื่องไปยังฝั่งยุโรปในปี 2024 นิตยสาร Pollstar ก็ประเมินว่า ‘Eras Tour’ น่าจะเป็นทัวร์คอนเสิร์ตแรกในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมดนตรีที่ทำรายได้ทะลุหลัก 1,000 ล้านเหรียญ และยังไม่หยุดแค่นั้น ประเมินคร่าว ๆ ว่าน่าจะไปจบที่ 1,400 ล้านเหรียญ ทีมงานของ Pollstar คำนวณกันแล้วว่า ‘Eras Tour’ น่าจะทำรายได้แตะหลัก 1,000 ล้านเหรียญในระหว่างที่โชว์ในสิงคโปร์ ในช่วงวันที่ 2 – 9 มีนาคม 2024
แต่หลังจากสิงคโปร์แล้ว ตารางทัวร์ยังมีคิวเดินทางกันอีกยาวไกลกว่าจะไปถึงโชว์สุดท้ายที่ สนามกีฬาเวมบลีย์ในลอนดอน ที่วางกำหนดไว้ว่าเป็น 17 สิงหาคม 2024 และเมื่อถึงวันนั้น ‘Eras Tour’ ก็จะทำรายได้สูงถึง 1,400 ล้านเหรียญ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้ Pollstar เกริ่นว่าเป็นตัวเลขที่ประเมินไว้ว่าเป็น “ตัวเลขขั้นต่ำ” และอาจจะต้องแก้ไขตัวเลขเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมีรายงานมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า มีการเพิ่มโชว์ในยุโรป และในสิงคโปร์เองก็เพิ่มจากเดิม 3 คืนเป็น 6 คืน และโชว์ในสนามกีฬา SOfi ในลอสแองเจลิสสัปดาห์นี้ก็ขยายโชว์ต่อเนื่องมาเป็นคืนที่ 6 แล้ว
อย่างที่กล่าวไว้ว่าตัวเลข 1,400 ล้านเหรียญ เป็นตัวเลขที่ประเมินไว้ว่าเป็น “ขั้นต่ำ” เพราะคำนวณจากมูลค่าหน้าตั๋วเท่านั้น แต่ราคาจริงที่ผู้ชมจ่ายเงินซื้อตั๋วคอนเสิร์ตนั้นสูงกว่ามาก เพราะเมื่อตั๋วขายหมดแล้ว ก็จะมีตั๋วไปประกาศขายต่อในมูลค่าที่สูงขึ้นอีกหลายเท่า ตัวเลขที่ Pollstar นำมาคำนวณนั้น นับเฉพาะจากยอดขายตั๋วที่มูลค่าต่ำกว่าใบละ 500 เหรียญ ซึ่งค่าตั๋วเฉลี่ยของสวิฟต์ในทุกคอนเสิร์ตจะอยู่ 253 เหรียญเท่านั้น ทางทีมงานของสวิฟต์ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับราคาค่าตั๋วที่ถูกโก่งราคาในตลาดแต่อย่างใด ซึ่งในสหรัฐฯ นั้น มีคนอัปราคาค่าตั๋วของสวิฟต์ขึ้นไปถึงหลักพันเหรียญก็มีมาแล้ว ทางทีมงานสวิฟต์ไม่ขอใช้ตัวเลือก “platinum pricing” (ค่าตั๋วที่ปรับราคาขึ้นในโชว์ที่มีผู้สนใจแย่งซื้อกันจำนวนมาก) บนเว็บไซต์ Ticketmaster ซึ่งเคยก่อให้เกิดข้อโต้แย้งกันอย่างมากในทัวร์คอนเสิร์ตของ บรูซ สปริงสทีน (Bruce Springsteen) ที่ทีมงานศิลปินได้ส่วนแบ่งจากค่าตั๋วที่ขึ้นราคาหน้างาน
เมื่อตัวเลข ‘Eras Tour’ ไปจบที่ 1,400 ล้านเหรียญจริง เธอจะทำลายสถิติเดิมที่ “Farewell Yellow Brick Road Tour” ของ เอลตัน จอห์น (Elton John) ทำไว้ที่ 887 ล้านเหรียญ ซึ่งทัวร์นี้ก็ยังคงเดินหน้าอยู่ แต่ก็ไม่น่าจะมีตัวเลขเพิ่ม เพราะทัวร์จะสิ้นสุดอีกไม่กี่วันนี้แล้ว โชว์สุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ที่กรุงสต็อกโฮล์ม และ “Farewell Yellow Brick Road Tour” ก็เพิ่งครองตำแหน่งนี้ในฐานะทัวร์คอนเสิร์ตแรกที่ทำรายได้เกิน 800 ล้านเหรียญ
สถิติก่อนหน้านั้น ตกเป็นของ “Divide Tour” ของ เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran) ทำรายได้รวมไปที่ 776 ล้านเหรียญ ทำลายสถิติเดิม “360 Tour” ของ U2 ซึ่งครองสถิติเดิมอยู่ก่อนหน้านั้นหลายปี ก่อนที่จะถูกชีแรนทำลาย
Pollstar ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่จริงแล้ว สวิฟต์น่าจะทำรายได้ทะลุหลัก 1,000 ล้านเหรียญในปีนี้เลยก็ได้ ถ้าเธอโชว์ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2023 แต่สวิฟต์ขอหยุดพัก 2 เดือนครึ่ง หลังจากจบ 13 โชว์ในละตินอเมริกา ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 13 สิงหาคมที่เม็กซิโกซิตี้ แล้วจบในวันที่ 26 พฤศจิกายนที่บราซิล แล้วเธอจะกลับมาเริ่มต้นทัวร์อีกครั้งในโตเกียว วันที่ 7 กุมภาพันธ์ จากนั้นก็เดินหน้าทัวร์ต่อในเอเซีย ออสเตรเลีย และยุโรป
นอกจากรายได้ที่สวิฟต์จะกอบโกยได้อย่างมหาศาลจาก ‘Eras Tour’ นี้แล้ว ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากทัวร์คอนเสิร์ตของเธอก็ก่อให้เกิดตัวเลขที่น่าสนใจเช่นกัน กลุ่มวิจัยออนไลน์ Questionpro เผยผลการวิจัยออกมาว่า เฉพาะทัวร์คอนเสิร์ตของสวิฟต์ในสหรัฐฯ นั้น เธอต่อยอดให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงถึง 5,000 ล้านเหรียญ ในแต่ละเมืองที่เธอไปโชว์ ตัวเลขนี้สูงกว่าค่า GDP ของอีก 50 ประเทศเลยด้วยซ้ำ
ที่มา : variety