เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยผ่านหูผ่านตาเพลงประกอบซีรีส์และภาพยนตร์เกาหลีเวอร์ชันแปลไทยเพราะ ๆ ที่ขับร้องโดยหนุ่มเสียงดีคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงดัง ๆ อย่าง “Romantic Sunday” หรือ “Wish” จากซีรีส์เรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha หรือว่า “I Believe” จากภาพยนตร์เรื่อง My Sassy Girl ก็กลายมาเป็นบทเพลงเพราะ ๆ ในเวอร์ชันไทยที่ผ่านปลายปากกาและเสียงร้องของหนุ่มคนนี้ที่สร้างความประทับใจให้กับใครหลายคน และในที่สุดก็ถึงเวลาที่ศิลปินหนุ่มคนนี้จะได้มีผลงานเพลงเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อ ‘Rrachan’ (ราชันย์) กับซิงเกิลเปิดตัวที่มีชื่อว่า “มหากาพย์ความเหงา” บทเพลงเหงา ๆ ที่สะท้อนตัวตนและสไตล์ของเขาเป็นอย่างดี บทเพลงที่มาพร้อมรสชาติที่น่าสนใจจากคอนเซ็ปต์และเนื้อร้องที่ช่างคิดกับสไตล์ดนตรีที่ผสมผสานหลากหลายวัฒนธรรมดนตรีเข้าไว้ด้วยกัน แถมยังมาพร้อม Lyric Visualizer Video ที่ราชันย์ลงทุนลงแรงทำด้วยตัวเองอีกต่างหาก จัดเต็มแบบนี้เราคงต้องมาทำความรู้จักกับเขากันสักหน่อยแล้ว
ชื่อ ‘Rrachan’ (ราชันย์) นี่มีที่มายังไงครับ
Rrachan : ‘ราชันย์’ นี่เป็นชื่อจริงของผมเองครับ เป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ คือเขาเคยเล่าให้ผมฟังว่าก่อนที่ผมจะมาเกิด เขาเคยฝันว่าเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางเวิ้งน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เหมือนเจ้ามหาสมุทรตัวน้อย ๆ ที่กำลังเรียกให้เข้าไปหาครับ แล้วจากนั้นแม่กับพ่อก็พายเรือไปรับเด็กคนนั้นขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ตั้งครรภ์และก็คิดว่าน่าจะได้ลูกชายแน่ ๆ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เมื่อผมเกิดมาแม่เลยตั้งชื่อให้ผมว่า ‘ราชันย์’ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ดูเด็ดเดี่ยวดี ดูแบบกล้าหาญดี แล้วมันก็สอดคล้องกับชื่อแม่ของผม ‘ราตรี’ ด้วยครับ ผมก็เลยเป็น ‘ราชันย์’ ครับ
แล้วชื่อราชันย์สะท้อนตัวตนของเราหรือมีผลต่อเส้นทางดนตรีของเราไหม
Rrachan : ก็ค่อนข้างพอสมควรเลยครับ ไม่คิดว่าชื่อนี้มันจะมีอิมแพ็กต์ได้ขนาดนี้ ชื่อราชันย์มันอาจจะฟังดูแล้วให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่เนอะ แต่ว่าจริง ๆ มันค่อนข้างขัดกันกับเส้นทางชีวิตของผมเหมือนกันตรงที่ว่าการต่อสู้บนเส้นทางการเป็นศิลปิน เราก็ค่อนข้างที่จะต้องลุยด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด รวมถึงความสัมพันธ์หรืออะไรต่าง ๆ มักจะต้องเผชิญเพียงลำพัง บางทีก็รู้สึกเหงาเหมือนกันครับ แต่โชคดีที่ว่าพอหันหลังกลับไปก็จะมีครอบครัวอยู่เสมอ เหมือนกับเป็นโลกภายในบ้านของเรา เราโชคดีตรงนี้ที่มีพ่อแม่พี่น้องที่เข้าใจที่คอยซัปพอร์ต แต่ว่าเวลาเราออกไปโลกภายนอกมันเหมือนเราต่อสู้เพียงลำพัง ค่อนข้างรู้สึกแบบนี้บ่อยครับ
เริ่มมาสนใจการร้องเพลงแต่งเพลงได้ยังไง
Rrachan : เริ่มชอบร้องเพลงจริง ๆ ตั้งแต่ตอน 7 ขวบครับ โดยมีพี่สาวเป็นไอดอล คือเขาชอบเปิดเพลงฝรั่งฟังแล้วแนวเพลงส่วนใหญ่ที่พี่สาวผมเปิดมันจะเป็นพวกโซล อาร์แอนด์บีในยุคนั้น ผมก็ซึมซับมาโดยที่ก็ไม่รู้หรอก ว่าชอบไม่ชอบแต่เหมือนได้ยินมันอยู่ทุกวัน มันก็จะมีอะไรแบบที่มันเป็นแอดลิบ (Adlib) ผมเลยซึมซับวัฒนธรรมการร้องและเมโลดี้แบบคนผิวสีมาค่อนข้างมาก พอโตมาปุ๊บรู้สึกตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว ชอบร้องเพลงแนวนี้ แต่ว่าพอโตมาช่วงมัธยมช่วงมหาลัยก็เหมือนกับเราเรียนไปก่อน เข้ามหาลัยยังไม่ได้มีภาพในหัวว่าจะต้องเป็นนักร้องหรือนักแต่งเพลงเหมือนกับว่าเออเราก็เรียนไป คิดว่าร้องเพลงเป็นงานอดิเรกด้วยซ้ำ พอมารู้ตัวอีกทีจริง ๆ ก็คือเรียนจบปุ๊บ ทำงาน เฮ้ยอันนี้มันไม่ใช่ทางของเรา เรารู้สึกว่าเราชอบทำเพลงเราอยากทำเพลงจริง ๆ ก็เริ่มมาจริงจังก็หลังจากทำงานได้ 2-3 ปีครับก็เริ่มเปิดช่องของตัวเอง
ช่องของ Rrachan นี่น่าสนใจมากเลยเห็นมีคัฟเวอร์เพลงเกาหลี เอามาเรียบเรียงดนตรีใหม่ ใส่เนื้อร้องเป็นภาษาไทย อยากให้เล่าที่มาที่ไปหน่อย
Rrachan : อ๋อ อันนี้ก็เกิดจากความชอบของผมเลยครับ เวลาดูซีรีส์เรื่องไหนแล้วชอบ ผมก็อยากจะเอาเพลงประกอบที่เพราะ ๆ มาทำในแบบของเราก็จะผ่านการตีความของผมด้วย คือในตอนแรกผมก็จะไปหาเวอร์ชันที่แปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ค่อยเอามาแปลเป็นภาษาไทยอีกที แต่ว่าบางเพลงก็ไม่ได้แปลตรงตัวครับ ผมจะใช้ความรู้สึกตอนที่ผมดูซีรีส์แล้วก็เข้าใจตัวละครว่าจริง ๆ แล้วเขาอยากจะเล่าอะไร มาใส่ความเป็นตัวเองและความรู้สึกตอนเราดูเข้าไปด้วยครับ มันก็จะได้เพลงแปลในเวอร์ชันของเราออกมา ผมจะไม่ได้แปลตรงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ว่าความหมายโดยรวมมันจะค่อนข้างตรงกันครับ
ยากไหมเวลาจะต้องหาคำไทยมาลงในเมโลดี้ของเพลงเกาหลี
Rrachan : จริง ๆ ถ้าจะให้มันสละสลวยก็ค่อนข้างยากอยู่เหมือนกันครับ อย่างเช่นความหมายของคำหนึ่งประโยคหนึ่งในภาษาเกาหลี พอมาแปลเป็นไทยมันก็อาจแปลได้ เลือกใช้คำได้หลายแบบมาก ๆ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกคำไหนรูปแบบไหนที่มันจะทำให้คล้องจองด้วยและได้ความหมายด้วย แต่ว่าพอทำบ่อย ๆ มันก็เกิดความชำนาญ เหมือนเราจะมีคลังศัพท์อยู่ในหัวว่าโอเคเราจะใช้อันนี้นะอะไรแบบนี้ครับ แต่ว่าเริ่มแรกมันก็จะมีความยาก พอทำไปเรื่อย ๆ ความจำมันก็เริ่มเข้าที่ กล้ามเนื้อมันเริ่มจำได้ ก็จะจับคำนู้นคำนี้มาใส่ มันก็จะไหลออกมาเองเลยครับ
มีความคิดที่จะเป็นศิลปินตั้งแต่เริ่มทำช่องไหม
Rrachan : จริง ๆ ใจลึก ๆ มันอยากเป็นตั้งแต่ช่วงเรียน แต่ตอนนั้นมันเหมือนกับว่ายังไม่กล้า มันจะมีก้อนความฝันแยกออกมาว่าอันนี้คือเส้นทางชีวิตเราก็เรียนไปตามสเต็ป แต่ว่ามันจะมีมาตั้งแต่ตอนเด็กที่อยากเป็นนักร้องจังเลย อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง มีความคิดฝันไปว่าหน้าปกมันต้องเป็นอย่างนี้นะ หน้าเอหน้าบีมีเพลงตามนี้ 1 2 3 4 อะไรแบบนี้ครับ แต่ว่ามันก็ถูกทิ้งไปเพราะรู้สึกว่าในสภาพแวดล้อมหรือตอนเราเรียนมันดูมีความเป็นไปได้ยากและอีกอย่างผมเป็นคนต่างจังหวัดด้วยก็เลยบอกว่าไอ้ก้อนความฝันนี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้มั้ง เราก็เรียนไปเป็นเด็กเรียนไปละกัน จนพอเรียนจบมหาลัย เฮ้ยไอ้ก้อนนี้มันยังอยู่ มันยังไม่หายไปไหน รู้สึกว่าอยากจะเริ่มตั้งใจทำมันให้เป็นรูปเป็นร่าง และเราก็ให้เวลากับการศึกษาให้เวลากับอะไรตรงนั้นมามากพอแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เราอยากจะมูฟไปทำความฝันเราบ้าง มันก็เริ่มมาจริงจังตอนหลังเรียนจบนั่นเองครับ ก็ทำเองทุกอย่างเลยครับ ตั้งแต่เขียนทำนองคำร้องเองทุกเพลง ก็คือแต่งเองหมด รวมถึง Visualizer video ผมก็ครีเอตสตอรี่บอร์ดทำเอง เพราะว่าผมจบแอนิเมชันมาด้วยผมก็ใส่ทุกอย่างเลยครับ
พอเราทำเพลงแล้วแรงบันดาลใจเราก็มาจากหลากหลายแนวมีทั้งแบบตะวันตก ตะวันออก เพลงเกาหลี แล้วเราเอาทั้งหมดมารวมกับความเป็นเราได้ยังไงใน “มหากาพย์ความเหงา” เพลงแรกที่ทำออกมาในฐานะศิลปินที่ชื่อราชันย์
Rrachan : หลัก ๆ แล้วผมจะชอบแนวป๊อป อาร์แอนด์บี โซลซึ่งอันนี้ก็จะเป็นแรงบันดาลใจแรกที่ได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ จากพี่สาวครับ พอเราโตขึ้นมาเรื่อย ๆ เราก็เริ่มมาเสพงานพวกแบบฝั่งเอเชียบ้าง ยุคของผมที่ดัง ๆ เลยก็จะมี เจย์ โชว์ (Jay Chou) ที่เขาจะเป็นแนวอาร์แอนด์บีแต่ผสมเครื่องดนตรีจีนโบราณเข้าไปได้อย่างลงตัว เป็นอะไรที่แปลกแต่เจ๋งดีจริง ๆ ครับ ผมก็เลยรู้สึกว่าวันนึงถ้าเราจะมาทำป๊อปอาร์แอนด์บีบ้าง เราอยากให้มันดูร่วมสมัย เราไม่อยากให้มันอาร์แอนด์บีจ๋า อยากให้มันมีความเป็นเอกลักษณ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออะไรบางอย่างเข้ามา แล้วบวกกับเพลงที่ผมทำมันชื่อ “มหากาพย์ความเหงา” ก็เลยเอาทุกอย่างมาใส่ให้มันดูเข้าท่าเข้าทาง อย่างมีแรงบันดาลใจว่าอยากจะใส่ความเป็นภารตะลงไป แล้วก็พวกความเป็นอาร์แอนด์บีที่เราชอบอยู่แล้ว เนื้อเสียงของเราที่มันได้อยู่แล้วผสมผสานลงไปครับ ก็เลยออกมาเป็น “มหากาพย์ความเหงา” มันก็เลยจะมีความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความแบบเป็นเอเชียใต้ด้วยผสมกันไปครับ ซึ่งการผสมกันแบบนี้ผมตั้งใจจะให้เป็นคาแรกเตอร์ของผมเลย แล้วผมก็คิดว่าจะไม่ได้หยุดแค่สไตล์ที่เป็นเอเชียใต้หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย อย่างสมมุติว่าเนื้อเรื่องต่อไปมันสอดคล้องกับอะไรผมก็จะพยายามดูว่าดนตรีแบบไหนที่มันเข้ากับเรื่องราวนี้ ผมจะพยายามดึงความเก่าบางอย่างเข้ามาใส่กับความร่วมสมัยครับ
อะไรเป็นแรงบันดาลใจและไอเดียในเพลง “มหากาพย์ความเหงา” ทำไมถึงต้อง ‘มหากาพย์’ ด้วย
Rrachan : แรงบันดาลใจก็คือมาจากชื่อ ‘ราชันย์’ ของผมเลยที่ฟังดูแบบโอ้โห ! ดูมีความยิ่งใหญ่ ดูมีอะไร แต่จริง ๆ กลับรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนยืนอยู่กลางมหาสมุทรอะไรแบบนี้ครับ แล้วราชันย์เนี่ยมันฟังดูมีความเป็นภารตะอยู่แล้วด้วยก็เลยมาเป็น “มหากาพย์ความเหงา” โดยราชันย์ซะเลย ทีนี้พอคิดชื่อได้ พอมันมีความเป็นมหากาพย์ เราก็มาคิดว่าจะเล่นอะไรได้บ้าง มหากาพย์มันเหมือนเป็นตำนานใช่ไหมครับ เราก็เลยต้องดึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่มันอยู่รอบนอก คือเรากำลังจะเอาสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่รอบนอก เช่น มีพระจันทร์ ท้องฟ้าราตรีที่มีดวงดาว แต่พอเริ่มเข้ามาที่ตัวเรามันกลับไม่มีใคร คือพยายามเปรียบเทียบกับอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ที่มันเป็นคู่กัน แต่ตัวเราเมื่อไหร่จะมีใครสักคนเข้ามานะ มันก็อุปโลกน์ได้อีกมุมหนึ่งว่าเหมือนเราเป็น ‘เทพเจ้าแห่งความเหงา’ ในโลกที่เราสมมุติขึ้นมาเรานี่คือ ‘The God of Loneliness’ เลย
ในส่วนของสไตล์เพลงก็เป็นป๊อป อาร์แอนด์บีในแบบที่ผมถนัด ทั้งคำร้องและทำนองผมแต่งเองทั้งหมดครับ แล้วก็อย่างที่เล่าไปคือผมพยายามสร้างสีสันให้กับครึ่งหลังของเพลง โดยการแทรกเครื่องดนตรีโบราณ กลิ่นอายและเอกลักษณ์ของเอเชียใต้ผสมผสานกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ดูเป็นมหากาพย์ที่แม้จะเหงา แต่ก็ยังสนุกสนานไปกับมันได้ ในส่วนของดนตรีก็ได้มือดีอย่าง น้องพัท จาก Toro Sounds Studio มาช่วยเนรมิตดนตรีของเพลงนี้ให้ ตลอดจนมิกซ์และมาสเตอร์ด้วยครับ
ทีนี้ไอเดียเรื่องมหากาพย์มันก็จะมาใช้กับ Lyric Visualizer ของเพลงนี้ด้วยครับ ซึ่งผมก็เป็นคนวางสตอรี่บอร์ดตลอดจนดีไซน์ซีนต่าง ๆ เล่นเอง กำกับเองทั้งหมดครับ สไตล์ภาพก็จะออกไปทาง Surrealistic ที่มีความเหนือจริง ไม่เน้นความสมจริง เป็นโลกสมมติขึ้นมาใหม่ มีตัวละครหลักคือ “ผม” ที่เปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งความโดดเดี่ยว ในแต่ละฉากจะตั้งใจจัดองค์ประกอบภาพให้ตัวละครอยู่ตรงกลางภาพเสมอ เพื่อสื่อถึงการเป็นศูนย์กลางของความเหงา เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในโลกสมมุติใบนั้น ส่วนในเรื่อง Color Tone จะเห็นได้ว่าสีเสื้อผ้าของผมจะเป็นสีแดง ซึ่งตัดกับบรรยากาศโดยรวมที่เป็นสีโทนฟ้าน้ำเงิน ซึ่งแดงกับน้ำเงินคือสีคู่ตรงข้ามในทางทฤษฎีศิลปะ โดยสีแดงจะให้ความรู้สึก ยิ่งใหญ่ ดุดัน สมบูรณ์ ในขณะที่สีโทนฟ้าน้ำเงินนั้นจะให้อารมณ์ของความหนักแน่น ความสุภาพ และร่มรื่น
มีวิธีการเขียนเนื้อร้องเพลงนี้ยังไง
Rrachan : เวลาผมเขียนเนื้อเพลง ผมจะคิดก่อนว่าผมอยากเล่าอะไร เหมือนเพลงนี้เราจะเล่าอะไรดี แล้วหลังจากนั้นมันก็จะมีคอนเซ็ปต์ขึ้นมา แล้วเราก็มาคิดต่อว่ามันจะไปทางไหนได้บ้าง อย่างเช่นความเหงานี่มันก็สามารถเป็นความเหงาได้หลายแบบ เช่น เหงาแบบมินิมอลซอฟต์ ๆ หรือเหงาแบบเล่นใหญ่ เป็นมหากาพย์ไปเลย พอเราได้แนวทางแล้วคราวนี้เราก็จะอุปโลกน์ว่าเราเป็นเทพเจ้าแห่งความเหงา แล้วจากนั้นเมโลดี้ก็เริ่มมาก่อนเลย ผมจะเป็นคนที่มีเมโลดี้เข้ามาในหัวก่อน ไม่ว่าจะฮุกหรืออะไรก็ตาม หลังจากนั้นค่อยเอาเมโลดี้ที่ได้มาครีเอทเนื้อเพลง สำหรับเพลง “มหากาพย์ความเหงา” ผมจำได้ว่าผมได้เมโลดี้ฮุกมาก่อน แล้วค่อยคิดต่อไปว่าจะใส่คำอะไรดีจากคอนเซ็ปต์ที่เราคิดขึ้นมา
แล้ว ‘ความเหงา’ หรือ ‘ความโดดเดี่ยวท้อแท้’ ที่ราชันย์ ‘ราชาแห่งความเหงา’ เคยเจอมันเป็นยังไงบ้าง
Rrachan : ก็เคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกสับสนจริง ๆ ครับ คือผมเองก็ทำเพลงมาปีหน้าก็เกือบจะ 10 ปีแล้ว ระหว่างนี้เราก็ทำงานประจำไปด้วย มันก็เหมือนกับว่าเราทำหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน มันก็จะมีความรู้สึกว่า ท้อแท้ ว่าเมื่อไหร่มันจะถึงเวลาของเราอะไรแบบนี้ครับ ผมเชื่อว่าทุกคนก็จะเกิดความรู้สึกนี้ในช่วงเวลาที่เราต้องการที่จะทำอะไรบางอย่าง แต่ว่าระหว่างทางมันก็จะมีอุปสรรค มีกระบวนการต่าง ๆ ที่จะต้องไปให้ถึงซึ่งเป็นธรรมดาที่เราจะรู้สึกท้อที่จะรู้สึกเหนื่อย ผมก็เคยมีหลายครั้งที่ถามตัวเองว่าเรายังอยากทำอยู่ไหม เราแน่ใจว่าเราอยากจะทำสิ่งนี้อยู่ แต่ปรากฏว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้มันก็ยังไม่ไปไหน นั่นแปลว่าคำตอบในใจมันชัดแล้วว่าเราชอบมันจริง ๆ ถ้าไม่ชอบ 4-5 ปีแรกคงเลิกไปแล้ว แต่นี่เรายังทำอยู่เลย แต่เราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไงนะ แต่ว่าเราก็จะทำต่อไปครับ
ซึ่งความรู้สึกนี้ดูเหมือนว่าจะมีอิทธิพลกับเพลงของราชันย์มากเลย
Rrachan : ใช่ครับ เวลาผมทำเพลงออกมาก็จะเป็นตัวตนเป็นเอกลักษณ์ของเราจริง ๆ ผมก็จะรู้สึกจริงกับความรู้สึกของการอยู่คนเดียว ความรู้สึกเหงา ๆ อะไรแบบนี้ครับ เหมือนอยากจะเป็นตัวแทนของคนที่รู้สึกโดดเดี่ยว คนที่รู้สึกว่าเราเป็น nobody ก็คืออยากให้รู้สึกว่าคุณมีเพื่อนน่ะ เราจะเหงาไปด้วยกัน แล้วสามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้โดยมีความสุข คือมันก็อาจจะมีวันนึงที่เราเจอคนที่จริงใจเข้ามา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนรักเพียงอย่างเดียว อาจจะหมายถึงเพื่อนร่วมงาน ที่ปรึกษา หรือใครก็ตามที่พากันไปทำสิ่งดี ๆ ช่วยพาให้ชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมเลยก็คือเราจะทำยังไงที่เราจะสามารถอยู่แบบนี้อย่างมีความสุขและรักตัวเองได้ ต่อให้ผมยังไม่เจอใครคนนั้น ผมก็ยังยืนหยัดที่จะรักตัวเอง เข้าใจตัวเอง และให้กำลังใจตัวเองมาก ๆ เมื่อเราเคารพและรักตัวเองมากพอ ท้ายที่สุดก็จะมีคนที่เขาเห็นคุณค่าในตัวเราอย่างแท้จริง หรือต่อให้ไม่มีใครเห็น ก็ตัวเรานี่แหละที่เห็นได้ด้วยตัวเองครับ คาแรกเตอร์เพลงของผมก็จะเป็นอะไรประมาณนี้ครับ
ราชันย์ตั้งเป้าหมายการเป็นศิลปินตัวเองไว้ไหมว่าเราจะไปถึงจุดไหน
Rrachan : จริง ๆ ผมตั้งไว้อยู่แล้วในใจครับว่าผมอยากประสบความสำเร็จในฐานะศิลปิน ก็คือเพลงของผมเป็นที่รู้จัก แล้วก็สามารถทำผลงานอื่น ๆ ในลำดับถัดมาได้ ในอนาคต อยากจะทำเพลงที่นอกเหนือจากเพลงที่ เล่าเรื่องความเหงา เราอยากจะทำเพลงที่เยียวยาคนได้ ผมอยากให้เพลงของผมได้เป็นทั้งเพื่อนในยามอ้างว้าง และคนปลอบโยนจิตใจในเวลาที่ไม่เหลือใคร เพราะเหมือนเราก็ผ่านจุดนั้นมาระหว่างเส้นทางที่เราเดินมา เราก็น่าจะมีเรื่องเล่าที่มอบให้กับคนที่เขาก็กำลังเดินมาเหมือนกันครับ
อยากฝากอะไรถึงแฟนเพลงบ้าง
Rrachan : ก็อันดับแรกนะครับผมอยากจะฝากผลงานชิ้นนี้ด้วยนะครับเพลง “มหากาพย์ความเหงา” นะครับ สามารถฟังได้ทุก ๆ สตรีมมิงเลย แล้วก็รวมถึงถ้าใครอยากดู Visualizer Video ที่ผมทำเองเนี่ย ก็เข้าไปในยูทูบได้เลยพิมพ์ว่า “มหากาพย์ความเหงา” ก็ขึ้นเลยครับ หรือจะพิมพ์ที่ช่องยูทูบผมก็ได้ครับ ‘Rrachan’ ราชันย์นะครับ ผมตั้งใจทำเพลงนี้มาก ๆ เลยนะครับ ก็อยากจะให้เพลงนี้เป็นตัวแทนของคนเหงาหรือคนโสดก็ได้ หรือว่าใครก็ตามที่กำลังมีภาวะหรือเผชิญกับความรู้สึกโดดเดี่ยวหรืออ้างว้างเพียงลำพัง ก็อยากจะบอกว่าคุณไม่ได้เป็นคนเดียว ไม่ได้เหงาคนเดียวนะ เรามาเป็นเพื่อนกันแล้วก็เดินไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าเราจะเหงาแต่เราก็มีความสุขได้ด้วยการรักตัวเองนะครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส