แฟรนไชส์ Alien และ Predator ถือว่าเป็นเรื่องราวที่อยู่ในจักรวาลเดียวกัน หลังจากมีหนังที่สัตว์ต่างดาว 2 สายพันธุ์นี้เคยปะทะกันมาแล้ว 2 เรื่อง ซึ่งเดิมเป็นทรัพย์สินของ Fox แต่ปัจจุบันอยู่ภายใต้ชายคาของดิสนีย์ไปแล้ว หลังมีการพยายามคืนชีพแฟรนไชส์ ‘Predator’ อยู่หลายครั้ง และครั้งล่าสุด กับ ‘Prey’ (2022) แม้จะปล่อยสตรีมมิงแค่ทางช่อง Hulu ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก หนังได้รับเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ชมและนักวิจารณ์ ทำคะแนนบน Rottentomatoes ได้สูงถึง93% กลายเป็นการยกระดับมาตรฐานหนังในแฟรนไชส์นี้ขึ้นไปสูงลิ่ว
ความสำเร็จของ ‘Prey’ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ผิดพลาดของดิสนีย์และเป็นการพลาดโอกาสที่ดีของแฟรนไชส์ไป เพราะทางสตูดิโอเลือกที่จะเอาหนังลงช่องสตรีมมิงแทนที่จะเอาเข้าโรงฉาย ทั้งที่หนังมีคุณสมบัติเด่นครบถ้วนของหนัง Predator ที่มีทั้งฉากรุนแรง สยดสยอง บวกกับบทภาพยนตร์ที่ดี ทำให้หนังพลาดโอกาสกวาดรายได้ค่าตั๋วไปอย่างน่าเสียดาย พอพลาดแล้ว ดิสนีย์ก็เลยเจ็บแล้วจำเป็นบทเรียน พอหนัง ‘Alien’ เรื่องใหม่ออกมา ดิสนีย์ก็ตั้งเป้าไว้ล่วงหน้าเลยว่ารอบนี้จะเอาเข้าโรงฉายอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าหนัง ‘Alien’ จะได้รับโอกาสเข้าฉายโรง แต่หนังก็แบกภาระความคาดหวังไว้สูง ว่าจะต้องแซงหน้าความสำเร็จที่ ‘Prey’ ทำไว้ให้ได้ ในฐานะที่หนังภาคต่อที่ประสบความสำเร็จในแฟรนไชส์ตัวเอง
หนัง ‘Alien’ เรื่องใหม่แบกรับภาระความเสี่ยงสูง
เปรียบเทียบในเรื่องจังหวะเวลาที่ ‘Prey’ ออกฉายนั้น ได้เปรียบกว่าหนัง ‘Alien’ เรื่องใหม่อย่างมาก เหตุเพราะว่าแฟรนไชส์ Predator เว้นช่วงเงียบหายไปนานมากแล้ว หนังเรื่องล่าสุดในแฟรนไชส์คือ ‘The Predator’ เมื่อปี 2018 นู่นเลย แล้วเนื้อหาแต่ละเรื่องค่อนข้างแยกจากกัน ไม่ได้มีเนื้อหาและตัวละครหลักที่เกี่ยวโยงกัน แต่สำหรับ Alien นั้น หนังเรื่องล่าสุดในแฟรนไชส์คือโปรเจกต์ไตรภาคก่อนหน้าของ ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ผู้กำกับผู้ให้กำเนิด Alien ที่สร้างออกมาได้ 2 ภาคคือ ‘Prometheus’ ปี 2012 และ ‘Alien: Covenant’ ปี 2017 ซึ่งสก็อตต์เขียนเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนาซับซ้อน และวางเป้าหมายไว้ว่าจะพาเรื่องราวให้ไปบรรจบกับหนัง ‘Alien’ ต้นฉบับของเขาเมื่อปี 1979 ให้ได้ แต่ผลก็คือ หนังทั้งสองเรื่องไม่ประสบความสำเร็จ โปรเจกต์จึงไม่สามารถปิดจบในรูปแบบไตรภาคได้ตามแผนที่วางไว้ และทิ้งให้ผู้ชมยังคงค้างเติ่งกับปริศนาที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย แต่ก็ดูเหมือนว่าดิสนีย์เลือกที่จะเดินหน้ากับหนัง Alien เรื่องใหม่และไม่สนใจกับปริศนาที่ยังไม่ได้คลี่คลายของสก็อตต์อีกต่อไป
คนที่แบกรับภาระกดดันมากที่สุดจากนี้ไปก็คือ เฟเด อัลวาเรซ (Fede Alvarez) ที่ควบทั้งหน้าที่กำกับและอำนวยการสร้าง กับการเป็นผู้รับผิดชอบในหนัง Alien เรื่องใหม่ที่มาในรสชาติแปลกใหม่สำหรับแฟน ๆ ที่ติดตามแฟนไชส์มาโดยตลอด และน่าติดตามว่าในหนัง Alien ของเขาจะมีการเอ่ยถึงช่วงเวลาที่ขาดหายไประหว่าง ‘Alien: Covenant’ และ ‘Alien’ 1979 หรือไม่ แต่นั่นดูจะเป็นปัญหารองสำหรับอัลวาเรซ เพราะภาระสำคัญของเขาก็คือการกู้คืนแฟรนไชส์ที่ถดถอยไปมากกับ ‘Alien: Covenant’ (ทำรายได้ 238 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 97 ล้านเหรียญ) ให้กับเข้ารูปเข้ารอยเสียที ก็นับว่าเป็นความกดดันมหาศาล ที่จะต้องทำให้ Alien เรื่องใหม่ประสบความสำเร็จให้ได้ ในขณะที่ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์อย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ เองก็ยังทำไม่สำเร็จ
หนัง Predator เหมาะทำเป็นหนังเดี่ยวจบในตัวมากกว่า Alien
สังเกตจากที่ผ่านมา หนัง ‘Predator’ หลาย ๆ เรื่อง เหมาะจะทำเป็นหนังเดี่ยว ๆ จบเป็นเรื่อง ๆ ไป และสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ดีกว่า ที่จะทำเป็นแนวเนื้อหาต่อกันหลาย ๆ ภาคแบบ Alien ด้วยเหตุผลดังนี้
- ตลอดแฟรนไชส์ของ Predator ที่ผ่านมานั้น ยังไม่เคยย้อนไปทำเรื่องราวเหตุการณ์ก่อนหน้ามาก่อนเลย พอลองทำครั้งแรกกับ ‘Prey’ ก็ประสบความสำเร็จทันที ในขณะที่ ริดลีย์ สก็อตต์ ก็ได้ลองทำพรีเควลแล้ว แต่ก็ล้มเหลวและต้องหยุดชะงักแค่ 2 ภาค
- ‘Prey’ควบคุมขอบเขตและโทนของเรื่องราวในหนังพรีเควลได้ดี ไม่ได้เขียนเรื่องราวให้ซับซ้อนจนเกินไป และความสำเร็จของ ‘Prey’ ก็ทำให้สตูดิโออนุมัติสร้าง ‘Prey2’ โดยที่ไม่ได้ผู้สร้างเองก็ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ว่าหนังจะได้มีภาคต่อ
- ‘Prey’จบเรื่องได้แบบกระชับรวบรัด ไม่คิดการณ์ใหญ่จนเกินไป ดูจบแล้วจบเลย ต่อให้ Prey ล้มเหลว ไม่มีภาคต่อ หนังก็ไม่มีประเด็นทิ้งค้างไว้ให้ผู้ชม
- ‘Prey’ ค่อนข้างเป็นเอกเทศมากกว่า Predator ของ เฟเด อัลวาเรซ ตรงที่หนังภาคก่อนหน้าก็จบในตัวเองเช่นกัน ในขณะที่ ผู้กำกับอัลวาเรซต้องตัดสินใจว่าเขาจะเอ่ยถึง ‘Prometheus’ และ ‘Covenant’ ของ ริดลีย์ สก็อตต์ ไหม หรือจะไม่สนใจแล้วไปต่อกับเรื่องราวใหม่ของตัวเองเลย
ที่มา : screenrant