เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) พร้อมแล้วที่จะ ‘Speak Now’ อีกครั้งด้วยอัลบั้มเวอร์ชันบันทึกซ้ำของเธอ กับอัลบั้มชุดที่ 3 ของสวิฟต์ที่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2010 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากการเติบโตของเธอทั้งในฐานะของคนคนหนึ่งและศิลปินในช่วงเวลาที่เธอได้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่

“ฉันทำอัลบั้ม Speak Now และเขียนเพลงขึ้นเองทั้งหมด ในตอนที่มีอายุ 18 – 20 ปี” สวิฟต์เขียนบนอินสตาแกรมในตอนที่เธอประกาศอัลบั้ม ‘Speak Now’ (Taylor’s version)

“เพลงที่มาจากช่วงเวลานี้ในชีวิตของฉันถูกแต้มแต่งไปด้วยความซื่อสัตย์อันโหดร้าย คำสารภาพในไดอารีที่ไม่มีการกลั่นกรอง และความโหยหาที่บ้าคลั่ง ฉันรักอัลบั้มนี้เพราะมันบอกเล่าเรื่องราวของการเติบโต ความอ่อนแอ การโบยบิน และ การร่วงหล่น … และการมีชีวิตอยู่เพื่อพูดถึงมัน”

ด้วยเหตุนี้ ‘Speak Now’ จึงเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มแบบ ‘หลวม ๆ’ ที่เกี่ยวกับช่วงเวลาที่สวิฟต์อยากจะเล่ามันออกมา สวิฟต์เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Songwriter Universe ว่าเพลงแต่ละเพลงมีความหมายในฐานะ ‘คำสารภาพที่แตกต่างกันสำหรับคนที่แตกต่างกัน’

เป็นที่รู้กันว่าบุคคลที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของสวิฟต์ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบอันดีในเรื่องเล่าผ่านบทเพลงของเธอ และใน ‘Speak Now’ ก็เช่นกันที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สวิฟต์เขียนถึงประสบการณ์ความรักที่ผ่านมา (และก็ผ่านไป) ประสบการณ์ความประทับใจที่มีต่อใครสักคน เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว แฟนเพลง นักวิจารณ์หรือสาธารณชน แม้แต่ศัตรูหรือคนที่ไม่ชอบเธอก็อยู่ในบทเพลงของเธอด้วยเหมือนกัน เราจะมาดูกันว่าเรื่องราวเบื้องหลังบทเพลงทั้งหลายในอัลบั้ม ‘Speak Now’ สวิฟต์ได้เขียนถึงใครกันบ้าง

‘Speak Now’ (Taylor’s version)

“Mine”

ก่อนหน้านี้สวิฟต์บอกกับนิตยสาร Rolling Stone ว่าซิงเกิลนำจาก ‘Speak Now’ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “เด็กผู้ชายที่ฉันชอบในช่วงเวลาหนึ่ง” และมันจะเป็นยังไง “ถ้าฉันลดการ์ดลง”

ภายหลังเธอได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของเพลงในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Yahoo! Music ว่า “นี่คือสถานการณ์ที่ผู้ชายที่ฉันเพิ่งรู้จักเอาแขนมาโอบฉันไว้ริมน้ำ และฉันเห็นความสัมพันธ์ทั้งหมดแวบขึ้นมาต่อหน้าต่อตา เกือบจะเหมือนหนังไซไฟประหลาด ๆ เลยล่ะ”

นอกจากนี้เธอยังเคยเล่าให้ MTV NEWS ฟังว่า “หลังจากที่ฉันเขียนเพลง หลาย ๆ อย่างก็พังทลายเหมือนที่หลาย ๆ อย่างทำกัน และฉันไม่ได้คุยกับเขาเลยในช่วง 2-3 เดือน และเพลงก็ออกมา และวันนั้นฉันได้รับอีเมลจากเขา และฉันก็ตอบไปประมาณว่า ‘ใช่ !’ เพราะเพลงนี้เป็นเหมือนกับการสารภาพแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เป็นเหมือนการทำนายกลาย ๆ  หรือการฉายภาพของสิ่งที่ฉันเห็น”

Sparks Fly”

แม้ว่าสวิฟต์จะไม่ได้พูดถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังเพลง “Sparks Fly” มากนักในการให้สัมภาษณ์ แต่เธอก็ได้ให้เบาะแสสำคัญเมื่อเธอเขียนคำว่า “Portland, OR” เป็นข้อความที่ซ่อนอยู่ใน liner note ของเพลง

ต่อมามี Swifties ตาดีที่พบโพสต์เก่าของสวิฟต์ใน Myspace เมื่อเดือนตุลาคม 2006 เกือบหนึ่งปีก่อนที่เธอจะเริ่มแสดงสดเพลงนี้ ซึ่งเธอเล่าว่าเธอนึกถึงคืนที่ “น่าทึ่ง” ที่เธอได้แสดงในบาร์ที่พอร์ตแลนด์ชื่อว่า Duke’s ซึ่งเธอเล่นเปิดให้นักร้องคันทรี่ เจก โอเวน (Jake Owen)

ในโพสต์เธอยังพูดถึงการได้พบกับโอเว่น ซึ่งเขาชื่นชมเธอและบอกกับเธอว่าเขาเป็นแฟนเพลงตัวยงของเธอเลย นอกจากนี้บรรดาแฟน ๆ ยังชี้ให้เห็นว่าเนื้อเพลง “Sparks Fly” ยังพูดถึงการตกหลุมรักในบาร์ที่ว่างเปล่า ซึ่งอาจอ้างอิงถึงบาร์ Duke’s นั่นเอง

สวิฟต์และเจก โอเว่น

Back to December”

บทเพลงแสนเศร้าสำหรับสาว ๆ ที่ปล่อยให้คนดี ๆ ในชีวิตหลุดไป ว่ากันว่าสวิฟต์เขียนเพลง “Back To December” ถึงพ่อหมาป่าหนุ่มจาก “Twilight” เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ (Taylor Lautner) นั่นเอง

ทั้งคู่เดตกันสั้น ๆ ในปี 2009 หลังจากพบกันในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “Valentine’s Day” ซึ่งสำหรับแฟน ๆ แล้วความสัมพันธ์สั้น ๆ ของทั้งคู่ได้ปรากฏชัดอยู่ในเนื้อร้องอย่างท่อน “I miss your tan skin, your sweet smile.”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเลาต์เนอร์ได้แต่งงานแล้วกับ เทย์เลอร์ โดม (Taylor Dome) ซึ่งเธอก็เป็นแฟนเพลงของสวิฟต์ด้วย ส่วนที่งดงามที่สุดในความสัมพันธ์ของเทย์เลอร์ทั้งสามได้เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาซึ่งแฟน ๆ ได้เห็นภาพของสวิฟต์กอดกับเลาต์เนอร์บนเวทีคอนเสิร์ต Eras Tour ที่แคนซัสซิตี้ รวมทั้งภาพที่เทย์เลอร์ทั้งสามคือ เทย์เลอร์ สวิฟต์, เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์​ และเทย์เลอร์ โดม ​ภรรยาของเลาต์เนอร์​โพสท่าถ่ายภาพร่วมกันหลังเวทีคอนเสิร์ต กลายเป็นไวรัลไปทั่วอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่ทั้งสามคนมีชื่อเหมือนกันเท่านั้นแต่ความสัมพันธ์ที่น่าประทับใจระหว่างสวิฟต์และเลาต์เนอร์ได้ก้าวข้ามความรักครั้งเก่ามาสู่มิตรภาพดี ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้บทเพลงนี้งดงามเข้าไปใหญ่

เทย์เลอร์ทั้งสาม

ก่อนหน้านี้ในการสัมภาษณ์กับทาง TODAY.com เมื่อถูกถามถึง ‘Speak Now’ (Taylor’s version) ที่กำลังจะออกมา ในตอนนั้นเลาต์เนอร์ได้บอกว่า “ผมคิดว่ามันเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม” และหยอดมุกฮาเอาไว้ว่า “ใช่ ผมรู้สึกปลอดภัย ผมภาวนาให้จอห์น [เมเยอร์] นะ” ซึ่งนายจอห์น เมเยอร์ นี่ล่ะจะเป็นคนที่ตกเป็นเป้าของบทเพลงหลายเพลงจากอัลบั้ม ‘Speak Now’ ซึ่งเราจะกล่าวถึงต่อไป

Speak Now”

ที่มาของไตเติลแทร็กเพลงนี้แตกต่างจากเพลงอื่นเล็กน้อยเพราะไม่ได้เขียนเกี่ยวกับคนในชีวิตของสวิฟต์โดยตรงแต่เป็นเรื่องของคนใกล้ตัว ก่อนหน้านี้สวิฟต์ได้บอกว่า “Speak Now” เขียนขึ้นเกี่ยวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอที่เก็บความรู้สึกในใจที่มีต่อคนที่เธอแอบรักเอาไว้ “เพื่อนคนหนึ่งของฉัน … ผู้ชายที่เธอหลงรักตั้งแต่เด็กกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน” เธอบอกกับ Yahoo!  Music ในปี 2010

“และความคิดแรกของฉันคือการพูดว่า ‘เอาล่ะ คุณจะพูดตอนนี้หรือไม่’ จากนั้นฉันก็เริ่มคิดว่าฉันจะทำอย่างไรหากฉันยังรักคนที่กำลังจะแต่งงานกับคนที่ไม่ควรจะแต่งงานด้วย ดังนั้นฉันจึงเขียนเพลงนี้เกี่ยวกับแผนการของฉันว่ามันควรจะเป็นไปยังไง”

Dear John”

เพลงอกหักเพลงนี้ของสวิฟต์มีข่าวลือว่าเกี่ยวกับความรักช่วงสั้น ๆ ของเธอกับ จอห์น เมเยอร์ (John Mayer) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเพลงด้วย (ซึ่งคำว่า ‘Dear John’ ในแง่หนึ่งก็เป็นการอ้างอิงถึงคำว่า ‘Dear John Letter’ ซึ่งหมายถึงจดหมายที่หญิงสาวเขียนให้แฟนหนุ่มที่เข้าประจำการในกองทัพเพื่อตัดสัมพันธ์รัก) ไม่เพียงแค่นี้ข้างในเนื้อเพลงยังพูดถึงคู่รักที่มี ‘ช่องว่างระหว่างวัย’ ซึ่งสวิฟต์ตอนนั้นมีอายุ 19 ปีในขณะที่เมเยอร์มีอายุ 32 ปี

สวิฟต์และจอห์นออกเดตกันระหว่างปี 2009 ถึง 2010 โดยเขาร่วมแสดงกับเธอบนเวทีตลอดทัวร์คอนเสิร์ต Fearless ตอนนั้นเธออายุ 19 ปี และเขาอายุ 32 ปี และเนื้อเพลงของเพลงนี้ก็ยังร้องว่า “Dear John, I see it all now it was wrong. Don’t you think 19 is too young to be played by your dark twisted games, when I loved you so?

หลังจากเพลงถูกปล่อยออกมาเมเยอร์บอกกับ Rolling Stone ว่าเพลงนี้ทำให้เขา “รู้สึกแย่” “มันเป็นสิ่งที่แย่มากที่จะทำแบบนี้กับผม” เขากล่าว “ผมไม่เคยได้รับอีเมล ผมไม่เคยได้รับโทรศัพท์ ผมไม่ทันตั้งตัวเลยจริง ๆ”

แม้ว่าสวิฟต์จะปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่าเพลงนี้เกี่ยวกับใคร ในขณะที่เธอให้สัมภาษณ์กับ PEOPLE ในปี 2010 เธอบอกแค่เพียงว่าเพลงนี้ “เป็นเพลงที่เขียนยาก”

ในระหว่างทัวร์ Eras Tour ในเดือนมิถุนายนปีนี้ สวิฟต์แสดงเพลง “Dear John” เวอร์ชันแสดงสดโดยขอให้แฟน ๆ แสดง ‘ความกรุณา’ ต่อเพลงของเธอที่มีข่าวลือมาโดยตลอด “ฉันอายุ 33 ปีแล้ว ฉันไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อตอนที่ฉันอายุ 19 ปีหรอก” เธอกล่าว

“ฉันไม่ได้ออกอัลบั้มนี้เพื่อให้คุณมีประเด็นกับมันและรู้สึกว่าจำเป็นต้องปกป้องฉันทางอินเทอร์เน็ตจากคนที่คุณคิดว่าฉันอาจเขียนเพลงถึงเมื่อประมาณ 14 พันล้านปีก่อนตอนที่ฉันอายุ 19 ปี” เธอกล่าวต่อ “ฉันไม่สน เราโตกันหมดแล้ว ตอนนี้ฉันสบายดี”

สวิฟต์และเมเยอร์

Mean”

ลือกันว่าเพลง “Mean” ของสวิฟต์เกี่ยวกับนักวิจารณ์ บ็อบ เลฟเซ็ตซ์ (Bob Lefsetz) ผู้วิจารณ์ผลงานแกรมมี่ปี 2010 ของเธอในบล็อก Lefsetz Letter โดยเรียกเธอว่า “ทั้งเด็กและโง่” โดยประกาศว่าเธอ “ร้องเพลงไม่ได้” และเธอได้ “ทำลายอาชีพของเธอในชั่วข้ามคืน “

ในการสัมภาษณ์กับรายการ ’60 Minutes’ เลสลีย์ สตาห์ล (Lesley Stahl) ได้กล่าวอ้างอิงถึงบทวิจารณ์ของ บ็อบ เลฟเซ็ตซ์ ในขณะที่เธอถามสวิฟต์เกี่ยวกับแรงบันดาลใจของเพลง “สิ่งที่นายคนนี้พูดเกี่ยวกับฉันทำให้ฉันผิดหวังแต่มันก็ทำให้ฉันแกร่งขึ้นเหมือนกัน” สวิฟต์กล่าวถึงเลฟเซ็ตซ์ “ฉันไม่ได้เป็นคนหนังหนา ฉันเกลียดการอ่านคำวิจารณ์ เราไม่สามารถผ่านสิ่งที่ทำร้ายเราไปได้แบบจริง ๆ หรอก”

ส่วนเลฟเซ็ตซ์ก็ยังไม่วายพูดถึงเพลง “Mean” ในบล็อก Lefsetz Letter ของเขาหลังจากที่เพลงนี้ได้เปิดตัว “ผมให้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ประชาสัมพันธ์ในสิ่งที่เธอต้องการได้เลย เธอชนะแล้ว”

บ็อบ เลฟเซ็ตซ์

และเขายังเขียนจิกกัดสวิฟต์ต่ออีกว่า “แต่เธอก็ยังร้องเพลงไม่ได้จริง ๆ อยู่ดี มันถึงเวลาที่จะเริ่มทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ ? ควรที่จะทิ้งบุคลิกของเด็กสาวในโรงเรียนมัธยมและโบยบินเป็นผู้หญิงแทนที่จะพุ่งไปรอบ ๆ เหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ? นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องกลอกตาไปมา เธอช่างน่าหัวร่อ/โอ้แม่เจ้า ! ดูตอนที่เธอก้าวขึ้นไปบนเวทีเพื่อเรียกเสียงปรบมือกึกก้อง เทย์เลอร์มัวแต่ใช้จินตนาการของสาววัยรุ่น ตอนนี้เธอจะเป็นผู้หญิงที่ร้องเพลงเกี่ยวกับปัญหาของผู้หญิงได้สักทีแล้วยังล่ะ”

สวิฟต์แสดงเพลงนี้สดในงานแกรมมี่ปี 2012 ในทันที และได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชม

The Story of Us”

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ USA Today สวิฟต์บอกว่า “Dear John” และ “The Story of Us” เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน ๆ เดียวกัน โดยบอกเป็นนัยว่าเรื่องหลังเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมเยอร์ด้วย

“The Story of Us” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการบังเอิญเจอใครบางคนที่ฉันเคยคบหาด้วยในงานประกาศผลรางวัล และเรานั่งห่างกันไม่กี่ที่นั่ง” สวิฟต์เล่าถึงที่มาของเพลงนี้ “ฉันแค่อยากจะพูดกับเขาว่า ‘สิ่งนี้กำลังฆ่าคุณหรือเปล่า เพราะมันกำลังฆ่าฉัน’ แต่ฉันไม่ได้พูดมันออกไป เพราะฉันทำไม่ได้ เราทั้งคู่ต่างมีเกราะป้องกันคือความเงียบเหล่านี้”

มีข่าวลือว่างานประกาศผลรางวัลที่พูดถึงนั้นคืองาน CMT Awards ปี 2010 ซึ่งสวิฟต์และเมเยอร์นั่งใกล้กัน ดูเหมือนว่าสวิฟต์จะยืนยันทฤษฎีนี้ขณะที่เธอเขียนว่า “รางวัล CMT” เป็นข้อความที่ซ่อนอยู่ใน liner note ของเพลง

สวิฟต์และเมเยอร์ในงาน CMT Awards

Never Grow Up”

ก่อนหน้านี้สวิฟต์เคยกล่าวไว้ว่าเธอเขียนเพลงนี้เมื่อเธออายุประมาณ 18-19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ของเธอและซื้อบ้านหลังแรกในแนชวิลล์ เพลงนี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทดลองใช้ชีวิตเพื่อที่จะเติบโต เช่นเดียวกับการแก่ตัวและการอยู่คนเดียว

“‘Never Grow Up’ เป็นเพลงเกี่ยวกับความจริงที่ว่าฉันไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับการเติบโตขึ้น มันยุ่งยาก” สวิฟต์เคยเขียนไว้บนเว็บไซต์ของเธอ

“การเติบโตเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว การเติบโตเป็นแนวคิดที่บ้ามาก เพราะหลายครั้งเมื่อคุณยังเด็ก คุณก็ปรารถนาให้คุณแก่กว่านี้ ฉันมองออกไปที่ฝูงชนทุกคืน และฉันเห็นผู้หญิงจำนวนมากที่อายุเท่าฉันและกำลังเผชิญกับสิ่งเดียวกันกับที่ฉันกำลังประสบอยู่ ทุกครั้งที่ฉันมองลงไปแล้วเห็นเด็กผู้หญิงอายุ 7 หรือ 8 ขวบ และฉันหวังว่าฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้เธอฟัง ที่นั่นเธอกำลังกลายเป็นอย่างที่เธอกำลังจะเป็น และสร้างความคิด ความฝัน และความคิดเห็นของเธอ ฉันเขียนเพลงนี้เพื่อเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เหล่านั้น”

สวิฟต์และคุณพ่อคุณแม่ ‘สก็อตและแอนเดรีย สวิฟต์’

Enchanted”

แทร็กนี้ได้รับความนิยมบน TikTok เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้พวกเราได้หวนกลับไปเป็นวัยรุ่นและร้องเพลงตามเนื้อเพลงอย่าง “please don’t be in love with someone else.” เพลงนี้ลือกันว่าสวิฟต์เขียนเกี่ยวกับอดัม ยัง (Adam Young) แห่งวง Owl City

“ฉันเขียนเพลง ‘Enchanted’ เกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันอยากเจอมาก ๆ” เทย์เลอร์กล่าวกับ PopBuzz “เขาเป็นคนที่ฉันเคยคุยด้วยทางอีเมล 2-3 ครั้ง จากนั้นฉันก็อยู่ที่นิวยอร์กและไปหาเขา ฉันจำได้ว่าตลอดทางกลับไปยังที่พักฉันคิดแต่เพียงว่า ‘ฉันหวังว่าเขาจะยังไม่ได้รักใครซักคน'”

สวิฟต์และยัง

ในการสัมภาษณ์กับ Yahoo! Music สวิฟต์เล่าว่า “ฉันเริ่มเขียนเพลงนี้ในห้องพักของโรงแรมเมื่อฉันกลับมา เพราะมันเป็นความรู้สึกเชิงบวกและโหยหาว่า ‘ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจว่าฉันชอบที่ได้พบคุณมากแค่ไหน'” เธอกล่าวต่อ MTV News “การใช้คำว่า ‘wonderstruck’ [ในเนื้อเพลง] เป็นการกระทำโดยเจตนา เพราะนั่นเป็นคำที่คน ๆ นั้นใช้ครั้งหนึ่งในอีเมล… ดังนั้นฉันจึงตั้งใจเขียนมันลงในเพลง เพื่อที่เขาจะได้รู้”

สวิฟต์บอกใบ้ตัวตนของบุคคลนั้นในภายหลังเมื่อเธอเขียนว่า “ADAM” เป็นข้อความที่ซ่อนอยู่ใน liner note ของเพลง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 อดัม ยังดูเหมือนจะยืนยันว่าเนื้อเพลงนี้เกี่ยวกับเขาในขณะที่เขาเขียนเกี่ยวกับเพลงนี้ในบล็อกของวง (และบันทึกเพลงในเวอร์ชันของเขาเองเป็นการตอบกลับ)

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เทย์เลอร์จะเขียนเพลงที่ไพเราะเช่นนี้ และด้วยเหตุนี้ผมจึงตอบรับมันอย่างซาบซึ้งใจในแนวทางของผม” เขาเขียนในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 “ผมไม่รู้จะบรรยายมันยังไงเลย มันโดนผมสุด ๆ ผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย”

Better Than Revenge”

เพลงนี้พูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ออกเดตกับโจ โจนาส (Joe Jonas) แฟนเก่าของสวิฟต์หลังจากแยกทางกัน และแฟน ๆ ก็มุ่งไปที่นักแสดงสาว คามิลลา เบลล์ (Camilla Belle) เนื่องจากเธอกำลังคบกับโจในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่าสวิฟต์จะไม่ได้ระบุโดยตรงว่าเพลงนี้เกี่ยวกับใคร แต่ดูเหมือนว่าเบลล์จะโยนออกไปว่าเพลงนี้เกี่ยวกับเรื่องความบาดหมางของสวิฟต์กับ คานเย เวสต์ (Kanye West) และ คิม คาร์ดาเชียน (Kim Kardashian)

ปัญหาระหว่างสวิฟต์กับเวสต์และคาดาเชียน เกิดขึ้นเมื่อคาดาเชียนโพสต์วิดีโอที่ดูเหมือนจะเป็นการสนทนาระหว่างสวิฟต์และเวสต์เกี่ยวกับเพลง “Famous” ซึ่งเบลล์พยายามหาเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาทำให้ข้อสังเกตของเธอหนักแน่นขึ้นในโซเชียลมีเดียของเธออย่างอ้อม ๆ

“ไม่จำเป็นต้องแก้แค้น” เธอเขียนในสิ่งที่ไปทางเดียวกันกับ “Better Than Revenge” เพียงแค่นั่งรอ พวกที่ทำร้ายคุณในที่สุดจะพ่ายแพ้ และถ้าคุณโชคดี พระเจ้าจะให้คุณดู”

เพลงนี้ใน Taylor’s version มีการเปลี่ยนเนื้อเพลงในส่วนที่เป็นปัญหาออกไป

Innocent”

สวิฟต์บอกว่า “Innocent” เป็นเพลงที่เขียนขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ VMA ที่น่าอับอายในปี 2009 ระหว่างเธอกับ คานเย เวสต์ ซึ่งเขาได้ขัดจังหวะคำพูดของเธอเพื่อประกาศว่ามิวสิกวิดีโอของ Beyoncé ควรชนะแทน “ฉันคิดว่าหลายคนคาดหวังให้ฉันเขียนเพลงเกี่ยวกับเวสต์” เธอบอกกับ NYMag.com “แต่สำหรับฉัน การเขียนเพลงถึงเขาเป็นเรื่องสำคัญ”

“มันไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลย ถ้าฉันเริ่มตกเป็นเหยื่อและบ่นเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เพราะฉันภูมิใจในการแสดงที่ VMA ปีที่แล้ว ซึ่งแฟน ๆ ของฉันช่วยให้ฉันผ่านมันไปได้” เธออธิบายโดยอ้างถึงข้อเท็จจริง ที่เธอไปแสดงสดหลังจากนั้นไม่นาน “และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากฉันได้ลงไปหลังเวทีซึ่งฉันจะขอบคุณเสมอ และแฟน ๆ ในรถไฟใต้ดินก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ฉันรู้สึกทุกอย่างแหละ ฉันไม่ได้หนังหนาอะไรขนาดที่ว่า.. ฉันจะสามารถกันกระสุนได้จากความหมายของถ้อยคำเหล่านี้”

เวสต์ป่วนสวิฟต์ในงาน VMA 2009

Haunted”

ในบล็อกโพสต์ก่อนหน้านี้บนเว็บไซต์ของเธอ สวิฟต์อธิบายว่า “Haunted” เขียนขึ้น “เกี่ยวกับช่วงเวลาที่คุณรู้ว่าคนที่คุณรักกำลังล่องลอยและจางหายไปอย่างรวดเร็ว และคุณไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ในช่วงเวลานั้น ในช่วงเวลาแห่งความรัก ที่มันกำลังจางหายไป เวลาเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อความสุดท้ายที่พูด และคุณก็ตระหนักได้ว่าความรักของเขากำลังจากหายคลายไป”

เธอเสริมว่า “นั่นเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจและน่าสลดใจจริง ๆ เพราะตลอดเวลาที่คุณพยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น ฉันผ่านเรื่องนี้มา และจบลงด้วยการตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเขียนเพลงนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้”

แม้ว่าสวิฟต์จะบอกว่าเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการเลิกรากัน แต่แฟน ๆ ก็ตั้งทฤษฎีว่าเพลงนี้เดิมเขียนขึ้นสำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “New Moon” ซึ่งนำแสดงโดย เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ แฟนหนุ่มของสวิฟต์ในตอนนั้น

ทฤษฎีนี้ได้รับการกระตุ้นเพิ่มเติมในปี 2022 เมื่อผู้กำกับ คริส วีตซ์ (Chris Weitz) เปิดเผยว่าทีมของสวิฟต์ต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้เธอได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องปฏิเสธเธอ (Swift’s team fought hard for the singer to be a part of the movie but that ultimately they had to turn her down.)

“เทย์เลอร์ สวิฟต์ และผมมีตัวแทนคนเดียวกันในตอนนั้น และเขาก็พูดว่า ‘เทย์เลอร์อยากเล่นหนังเรื่องนี้ — ไม่ใช่เพราะคุณนะ แต่เธอเป็นแฟนทไวไลท์’” วีตซ์กล่าว ในท้ายที่สุดวีตซ์คิดว่าการปรากฏตัวของสวิฟต์จะทำให้คนดูเสียสมาธิ (เพราะมัวไปสนใจเธอ) ในภาพยนตร์มากเกินไปก็เลยตัดสินใจที่จะปฏิเสธเธอ

Last Kiss”

สวิฟต์ได้เล่าในรายการ The Ellen DeGeneres Show ว่าเธอได้เขียนเพลง “Forever and Always” หลังจากที่เธอเลิกรากับ โจ โจนาส และเร่งแต่งเพลงนี้ให้กับอัลบั้ม ‘Fearless’ ดังนั้นเมื่อคำว่า “forever and always” ปรากฏเป็นข้อความที่ซ่อนอยู่ใน liner note ของอัลบั้ม Speak Now สำหรับเพลง “Last Kiss” แฟน ๆ จึงมีความคิดที่ดีทีเดียวว่าเพลงนี้เกี่ยวกับใคร

ต่อมามีผู้พบเห็นโจนาสที่งาน Speak Now Tour ของสวิฟต์หลายโชว์ รวมถึงซานโฮเซ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งตอนนั้นสวิฟต์ได้เขียนข้อความไว้บนแขนของเธอว่า “หลังจากเราผ่านเรื่องราวทั้งหลายมา ฉันรู้ว่าเราเจ๋ง” (“After all that we’ve been through, I know we’re cool”)  ซึ่งเป็นเนื้อร้องจากเพลง “Cool” ของเกว็น สเตฟานี (Gwen Stefani)

สวิฟต์กับโจนาส

Long Live”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสวิฟต์ได้กล่าวถึง “Long Live” ว่าเป็นจดหมายรักถึงแฟน ๆ ของเธอ “เพลงนี้เกี่ยวกับวงของฉัน โปรดิวเซอร์ของฉัน และทุกคนที่ช่วยให้เราสร้างก้อนอิฐก้อนนี้ขึ้นมา”

“แฟน ๆ คือคนที่ฉันรู้สึกว่าเราทุกคนอยู่ด้วยกัน เพลงนี้พูดถึงช่วงเวลาแห่งชัยชนะที่เรามีในช่วงสองปีที่ผ่านมา” สวิฟต์เขียนไว้ในบล็อกของเธอ “’Long Live’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีที่ฉันรู้สึกและสะท้อนมันออกมา เพลงนี้สำหรับฉันเหมือนกับการดูอัลบั้มรูปของงานประกาศผลรางวัลทั้งหมด และการแสดงบนเวทีทั้งหมด และชูมือขึ้นกลางอากาศท่ามกลางฝูงชน มันเป็นเพลงรักเพลงแรกที่ฉันเขียนถึงทีมของฉัน”

Ours”

ก่อนหน้านี้สวิฟต์เคยเปิดเผยในรายการ Storytellers ของ VH1 ว่าเธอเขียนเพลง “Ours” เกี่ยวกับ “ผู้ชายที่ไม่มีใครคิดว่า [เธอ] ควรอยู่ด้วย”

“ดังนั้น ฉันจึงเขียนเพลงนี้ขึ้นมาให้เขาโดยเฉพาะ เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่า ‘ฉันไม่สนว่าใครจะพูดยังไง” เธอกล่าวเสริม “ฉันไม่สนใจว่าคุณจะมีรอยสัก ฉันไม่สนหรอกว่าคุณมีฟันห่าง ฉันรักคุณในสิ่งที่คุณเป็น’ และเพลงนั้นก็ลงเอยด้วยการสร้างสถิติและกลายเป็นเพลงอันดับ 1”

Superman”

ในระหว่างการแสดงสดเพลงนี้ สวิฟต์เปิดเผยว่า “Superman” ได้รับแรงบันดาลใจจากผู้ชายที่เธอ ‘หลงรัก’ ในตอนนั้น “เพลงนี้ได้ชื่อมาจากสิ่งที่ฉันพูดขึ้นมาลอย ๆ ตอนที่กำลังคุยอยู่” เธอกล่าวกับ Taste of Country “[ตอนที่] เขาเดินออกจากห้อง ฉันหันไปหาเพื่อนคนหนึ่งแล้วพูดว่า ‘มันเหมือนกับการดูซูเปอร์แมนบินหนีไปเลย'”

แฟน ๆ คิดว่าเพลงนี้เกี่ยวกับเมเยอร์จากหนึ่งในเนื้อเพลง  “loved you from the very first day” ซึ่งเป็นข้อความที่ซ่อนอยู่ใน liner note ของเพลง “Dear John”

Electric Touch”

และแล้วก็มาถึงบทเพลงจาก The Vault ซึ่งเป็นเซ็ตของเพลงที่เพิ่มเข้ามาในอัลบั้มเวอร์ชันนี้ นอกจาก “Electric Touch” จะเป็นเพลงแรกจาก The Vault ของอัลบั้มนี้แล้วยังได้ Fall Out Boy มาร่วมแจมอีกด้วย แม้ว่าสวิฟต์จะไม่ได้เปิดเผยมากนักเกี่ยวกับแรงบันดาลใจเบื้องหลังเพลงนี้ แต่เราก็รู้ว่าสวิฟต์กระตือรือร้นแค่ไหนกับการได้ร่วมงานกับ Fall Out Boy ในเพลงนี้

“เนื่องจาก Speak Now เกี่ยวกับการแต่งเพลงของฉัน ฉันจึงตัดสินใจไปหาศิลปินที่ฉันรู้สึกว่ามีอิทธิพลต่อฉันมากที่สุดในฐานะนักแต่งเพลงในตอนนั้น และขอให้พวกเขาร้องเพลงในอัลบั้มนี้” เธอเขียนเมื่อเดือนมิถุนายน

วงนี้มีประวัติอันยาวนานร่วมกัน โดยสวิฟต์กับ Fall Out Boy เคยแสดงร่วมกันที่งาน Victoria’s Secret Fashion Show ปี 2013 แพทริก สตัมป์ (Patrick Stump) นักร้องนำยังเป็นแขกรับเชิญพิเศษในระหว่าง Red Tour ของสวิฟต์ด้วย

สวิฟต์กับสตัมป์

“When Emma Falls in Love”

แฟน ๆ เชื่อว่าเอ็มมาผู้อยู่เบื้องหลังเพลงรักของสวิฟต์เพลงนี้คือเอ็มมา สโตน (Emma Stone) เพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งทั้งสองพบกันครั้งแรกในปี 2008 ประมาณ 2 ปีก่อนเปิดตัวอัลบั้ม ‘Speak Now’ ในขณะที่บางคนตั้งทฤษฎีว่าเพลงนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งก่อนของสโตนกับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield) liner note ของเพลงแสดงให้เห็นว่าเพลงนี้เขียนขึ้นในปี 2010 ซึ่งจริง ๆ แล้วมันอาจจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสโตนกับ คีแรน คัลกิน (Kieran Culkin) ซึ่งเธอออกเดตตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2011

ระหว่างการทัวร์ Eras Tour เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม สวิฟต์ยืนยันว่าเธอเขียนเพลงเกี่ยวกับเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเธอ ขณะที่เธอแสดงเพลงนี้เป็นเพลงเซอร์ไพรส์ ทำให้เกิดข่าวลือเพิ่มเติมว่า เอ็มมา สโตน นั้นเป็นแรงบันดาลใจของเพลงนี้แน่ ๆ

สวิฟต์กับสโตน

I Can See You”

เพลง “I Can See You” ของสวิฟต์เล่าเกี่ยวกับการตามหาความรัก แม้ว่าสวิฟต์จะไม่ได้พูดถึงแรงบันดาลใจของเพลงนี้มากนัก แต่ก็เป็น 1 ใน 3 เพลงของ The Vault ที่เธอโปรดิวซ์ร่วมกับ แจ็ก แอนโทนอฟฟ์ (Jack Antonoff ) ผู้ทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน

Castles Crumbling”

“Castles Crumbling” ซึ่งสวิฟต์ร้องร่วมกับ เฮย์ลีย์ วิลเลียมส์ (Hayley Williams) จากวง Paramore ดูเหมือนจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับความกดดันที่เธอต้องเผชิญในช่วงที่ ‘Speak Now’ ออกวางจำหน่ายครั้งแรก รวมถึงการมีชีวิตอยู่เพื่อความสำเร็จของอัลบั้ม ‘Fearless’ ที่คว้ารางวัลแกรมมี่ และเป็นช่วงที่ชีวิตส่วนตัวของเธอได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะชนมากขึ้น

“ฉันได้ยินเพลงนี้และประทับใจมากกับการเล่าเรื่องในนั้น” วิลเลียมส์บอกกับนิตยสาร Coup de Main เกี่ยวกับเพลงนี้ “ซึ่งไม่แปลกใจเลยเพราะมันเป็นเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ มันเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เราทั้งคู่มีร่วมกันตั้งแต่เติบโตในสายตาของสาธารณชน และฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร้องเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกนั้น”

เทย์เลอร์ สวิฟต์ กับ เฮย์ลีย์ วิลเลียมส์

Foolish One”

เพลง “Foolish One” พูดถึงตกหลุมรักใครบางคนแม้จะมีสัญญาณเตือนก็ตาม ซึ่งมีท่อนหนึ่งที่สวิฟต์ร้องว่า “Wishful thoughts forget to mention when something’s really not right / And I will block out these voices of reason in my head.” แม้ว่าสวิฟต์จะไม่ได้ขยายความถึงแรงบันดาลใจของเพลง แต่แฟน ๆ ก็ตั้งทฤษฎีว่าเพลงนี้อาจเกี่ยวกับ จอห์น เมเยอร์ (อีกแล้ว) เนื่องจากเนื้อเพลงมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างกับ “Dear John” อย่างในท่อน “Now I’m slidin’ down the wall with my head in my hands / Sayin’, “How could I not see the signs?” / Oh, you haven’t written me or called / But goodbye screamin’ in the silence.”

ในขณะเดียวกัน บางคนเชื่อว่าสวิฟต์อาจแต่งเพลงนี้ถึงโจ โจนาส ขณะที่ท่อนบริดจ์พูดถึงความรักครั้งเก่าของเธอที่ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่กับคนอื่นแทน “‘Cause you got her on your arm and me in the wings / I’ll get your longing glances, but she’ll get your ring” และมีความคล้ายคลึงกับเนื้อเพลง “Mr. Perfectly Fine” ของเธอในท่อนที่ร้องว่า “‘Cause I hear he’s got his arm ’round a brand-new girl / I’ve been pickin’ up my heart, he’s been pickin’ up her.”

Timeless”

“Timeless” ดูเหมือนจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของคุณตาคุณยายของสวิฟต์ มาร์จอรี ฟินเลย์ (Marjorie Finlay) และ โรเบิร์ต ฟินเลย์ (Robert Finlay) เนื่องจาก lyric video ของเพลงนี้มีรูปถ่ายและโฮมวิดีโอจำนวนมากของพวกเขา ซึ่งก่อนหน้านี้สวิฟต์เขียนเกี่ยวกับคุณยายของเธอในอัลบั้ม ‘Evermore’ ในเพลง “Marjorie” ซึ่งเล่าว่าสวิฟต์มองการเติบโตของเธออย่างไร

ที่มา

People

Cosmopolitan

National World

The Week

Beartai

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส