คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) เป็นชาวไอริชโดยกำเนิด มีเอกลักษณ์ที่ดวงตาสีฟ้า และกรามกว้างที่ชัดเจน เขาเข้าสู่วงการแสดงมาตั้งแต่ปลายยุค 90’s ปัจจุบันมีผลงานการแสดงมาแล้วเกือบ 60 เรื่อง เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะหนังของเสด็จพ่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่เขาแทบจะเป็นนักแสดงประจำของโนแลนเลยก็ว่าได้ เพราะเมอร์ฟีร่วมแสดงในไตรภาค ‘Batman’, ‘Inception’, ‘Dunkirk’ จนล่าสุดโอกาสมาถึงเขาเสียที เมื่อโนแลนมอบหมายบทนำครั้งแรกให้เขาใน ‘Oppenheimer’ ในโอกาสนี้แบไต๋จึงขอหยิบยก 10 เรื่องราวที่น่าสนใจของ คิลเลียน เมอร์ฟี มาเล่าสู่กันฟัง มีหลายเรื่องในตัวนักแสดงมากฝีมือคนนี้ที่น่าสนใจเลยล่ะ
1.เกือบจะเป็นนักดนตรีอาชีพ
แฟน ๆ ของเมอร์ฟีต่างรับรู้กันดีถึงความสามารถในการแสดงของเขาที่สามารถแสดงได้ทุกบทบาท แต่รู้ไหมครับ ที่จริงแล้วเมอร์ฟีก็เป็นนักดนตรีระดับมืออาชีพคนหนึ่ง ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษานั้น เมอร์ฟีมีความใฝ่ฝันอยากเป็นร็อกสตาร์ แต่เขาก็ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในการแสดงละครเวทีของโรงเรียน ซึ่งฝีมือของเขาไปเข้าตา วิลเลียม วอลล์ คุณครูสอนภาษาอังกฤษ ที่เอ่ยปากชื่นชมว่าเขามีฝีมือทางด้านการแสดงและควรเอาดีทางนี้ แต่ในตอนนั้นเมอร์ฟีก็ยังหลงใหลในวงการดนตรี ช่วงเข้าวัย 20 ต้น ๆ เมอร์ฟี และ ไพดี น้องชายของเขามีโอกาสร่วมเล่นกับหลาย ๆ วงดนตรี เมอร์ฟีถนัดร้องนำและเล่นกีตาร์
เมอร์ฟีและไพดี เป็นคู่พี่น้องที่หลงใหลในเพลงของ The Beatles อย่างมาก ถึงขนาดว่าฟอร์มวงดูโอกันเอง ตั้งชื่อวงว่า ‘The Sons of Mr. Green Genes’ เป็นชื่อที่หยิบยืมมาจากเพลงของ Frank Zappa เมอร์ฟียังคุยอวดด้วยว่า วงของเขานั้นมีจุดเด่นในเรื่อง “เนื้อร้องที่ประหลาดและท่อนโซโลที่ยาวเหยียดไม่รู้จบ” กลายเป็นว่าเพลงของพี่น้องคู่นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ อย่างที่เมอร์ฟีคุยอวดไว้ ถึงขนาดที่ว่าค่ายดังอย่าง Acid Jazz Records ติดต่อเมอร์ฟีมาขอเซ็นสัญญาให้ออก 5 อัลบั้มกับทางค่าย แต่ทั้งคู่ก็ปฏิเสธไป เหตุผลเพราะอยากให้ไพดีตั้งใจเรียนให้จบเสียก่อน และเมอร์ฟีเองก็ไม่พอใจกับการลิขสิทธิ์เพลงที่เขาแต่งทั้งหมดต้องกลายเป็นของค่ายเพลง เขาเผยความรู้สึกภายหลังว่า “เมื่อมองย้อนกลับไปในวันนั้น ผมดีใจนะที่ตัดสินใจไม่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงเพราะเท่ากับผมต้องสละชีวิตและเพลงทั้งหมดให้เขาไป”
แต่ในวันที่เขาเบนเข็มมาเข้าสู่วงการแสดงแล้ว เมอร์ฟีก็ยังไม่ทิ้งความสามารถทางดนตรีไปเสียทีเดียว อย่างในหนัง ‘The Wind That Shakes the Barley’ ปี 2006 เมอร์ฟีรับบทเป็นทหารประจำกองทัพสาธารณรัฐไอริช ซึ่งก็มีฉากที่เขาได้เล่นซอฝรั่ง (Fiddle)
2.เข้าเรียนกฎหมายก่อนจะเปลี่ยนใจมาเข้าวงการแสดง
หลังจบระดับมัธยมศึกษา เมอร์ฟีเลือกเรียนต่อทางด้านกฎหมายใน University College Cork (UCC) แต่เขาก็สอบตกตั้งแต่ปีแรกเลย เมอร์ฟีให้เหตุผลไว้ว่า “ไม่รู้สึกถึงความทะเยอทะยานที่จะไปต่อทางสายอาชีพนี้” ในวันนั้นเขายังสนใจเล่นดนตรีอยู่ด้วยและเขาก็รู้ตัวตั้งแต่วันแรก ๆ แล้วว่ากฎหมายไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ และนั่นเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้มีโอกาสไปชมละครเวทีที่โรงละคร Corcadorca เรื่อง ‘A Clockwork Orange’ เป็นผลงานกำกับของ เคียร์แนน (Kiernan) เป็นชนวนเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มสนใจในการแสดง
จนเขาไปเข้าชมรมการแสดง ‘UCC Drama Society’ ในมหาวิทยาลัย และได้มีบทบาทแสดงครั้งแรกในเรื่อง ‘Observ the Sons of Ulster Marching Towards the Somme’ จากนั้นก็ได้ขยับขึ้นมารับบทนำในเรื่อง ‘Little Shop of Horrors’ เรื่องนี้ได้เปิดการแสดงใน Cork Opera House แต่เมอร์ฟีก็ยอมรับตามตรงว่า ตอนนั้นเขายังไม่ได้ตั้งเป้าถึงขั้นเป็นนักแสดงอาชีพ แต่เหตุผลที่เขาเข้าไปร่วมแสดงละครเวทีก็เพื่อได้มีโอกาสไปงานปาร์ตี้และได้พบปะสาว ๆ
3.ไปออดิชันบท แบทแมน แต่ได้เป็นวายร้าย โจนาธาน เครน
ปี 2005 เมอร์ฟีเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ไปออดิชันบท บรูซ เวย์น/แบทแมน แม้ว่าเขาพิจารณาตัวเองแล้วว่าไม่ได้มีรูปร่างบึกบึนพอที่จะเป็นซูเปอร์ฮีโรได้ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทำความรู้จักกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน แม้ว่าในที่สุด บทแบทแมนจะตกเป็นของ คริสเตียน เบล ก็ตาม แต่โนแลนก็ประทับใจในตัวเมอร์ฟี และมอบบท ดร.โจนาธาน เครน ให้เขาแทน ซึ่งภายหลังก็กลายเป็นวายร้ายในนาม ‘Scarecrow’ โนแลนเคยพูดถึงเมอร์ฟีในระหว่างให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Spin ว่า “เขามีดวงตาที่พิเศษมาก ผมนี่คิดหาเรื่องให้เขาต้องถอดแว่นให้ผมเห็นใกล้ ๆ อยู่เสมอ” และในที่สุดเมอร์ฟีก็ไม่ได้ทำให้โนแลนผิดหวัง บทเครนได้กลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ได้ปรากฎตัวครบทั้งไตรภาค และเป็นการยกระดับให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฮอลลีวูด
4.ทานมังสวิรัตมา 15 ปีแล้ว
คิลเลียน เมอร์ฟี เป็นนักแสดงที่ทุ่มเทให้กับบทบาทการแสดงอย่างมากคนหนึ่ง อย่างเรื่องที่เขาทานมังสวิรัตินี่ก็เช่นกัน เมอร์ฟีเลิกทานเนื้อมา 15 ปี เหตุผลที่เขาไม่ทานเนื้อนั้นไม่ได้เกี่ยวกับศีลธรรมใด ๆ เลย แต่เมอร์ฟีกลัวโรควัวบ้า และไม่สบายใจเกี่ยวกับธุรกิจการเกษตรที่อาจจะมีผลเสียต่อสุขภาพ จนกระทั่งปี 2013 ที่เขาได้รับบทนำใน ‘Peaky Blinders’ ทีวีซีรีส์เรื่องฮิต ในบทบาทของ โธมัส เชลบี้ นั้น เป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาล แต่สภาพร่างของเขาในขณะนั้นคือ “หนุ่มไอริชผอมแห้ง” เทรนเนอร์ส่วนตัวของเมอร์ฟีจึงแนะนำให้เขากลับมาทานเนื้ออีกครั้ง เพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีนให้กับร่างกาย และนี่คือหนึ่งในความมุ่งมั่นที่เขามีต่อการแสดง
5.เขาไม่พอใจกับทรงผมเกรียนของ โธมัส เชลบี้ เอาเสียเลย
‘Peaky Blinders’ เป็นทีวีซีรีส์ที่อิงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ย้อนเล่าเหตุการณ์ในเบอร์มิงแฮมยุค 20’s ซีรีส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ภาพของชาวแก๊งตระกูลเชลบี้นั้นเป็นที่รู้จักและจดจำของแฟน ๆ ซีรีส์ทั่วโลก ทำให้แฟน ๆ เพศชายอยากจะเลียนแบบชาวแก๊งทั้งในเรื่องการแต่งตัวและทรงผม แม้ว่าแฟน ๆ อยากจะตัดผมทรงนี้กัน แต่ตรงกันข้ามกับตัว คิลเลียน เมอร์ฟี ผู้รับบท โธมัส เชลบี้ กลับไม่ปลื้มกับทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเลย
เมื่อปี 2017 เชลบี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกประหลาดใจที่แฟน ๆ ชื่นชอบทรงผมของเขาและอยากจะตัดผมทรงนี้ตาม “แต่กลายเป็นว่าผู้คนชอบผมทรง อันเดอร์คัต กัน พวกเขาเข้าร้านตัดผมแล้วก็บอกกับช่างว่าขอทรง ‘Peaky’ มันบ้ามากที่ผู้คนชอบผมทรงนี้กันมาก ผมนี่ไม่ได้ไว้ผมยาวมา 4 ปีแล้ว ซึ่งปกติตัวผมนี่ชอบไว้ผมยาว แต่พวกเขารู้กันมั้ยว่า จุดประสงค์ของผมทรงนี้คือป้องกันการเป็นเหา ลองบอกพวกเขาซิว่าพวกเขากำลังตัดผมทรง ‘กันเหา’ แล้วดูซิว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกัน”
6.เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกโซเชียลเลย
สมมติว่าคุณมีโอกาสได้เจอ คิลเลียน เมอร์ฟี ตัวเป็น ๆ ในบาร์สักแห่ง แนะนำว่าซื้อเบียร์กินเนสส์ให้เขา แต่อย่าขอเซลฟี่กับเขาเด็ดขาด อย่าขอแอดเฟซบุ๊ก อย่าขอฟอลโลว์บนอินสตาแกรม เพราะเมอร์ฟีไม่สนใจโซเชียลมีเดีย เขามีความสุขกับชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นพวกต่อต้านเทคโนโลยีหรอกนะ แต่เพราะเขามีความเชื่อในการดำเนินชีวิตแบบคนยุคเก่า เขามองว่าโลกในยุคสมัยใหม่นั้นมีแต่หลุมพรางเต็มไปหมด และเขาอยากจะย่างก้าวไปตามยุคสมัยด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งเมอร์ฟีเคยพูดถึงเรื่องนี้ในการให้สัมภาษณ์กับ GQ ไว้ว่า “ผมแค่อยากจะดำเนินชีวิตอย่างสมถะและค่อยเป็นค่อยไป ผมมองว่ามันเป็นคุณค่าของวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมนะ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเลือนหายไปหมดแล้วในวันนี้”
เมอร์ฟียังยึดถือวิถีปฏิบัติว่าจะไม่คุยโม้โอ้อวดและพูดถึงตัวเองมากเกินไป
เมอร์ฟีเองยังกังวลเรื่องสื่อโซเชียลจะมีผลกระทบต่อลูก ๆ ของเขาด้วย ในตอนที่ลูก ๆ เข้าเรียนในชั้นมัธยมและทางโรงเรียนก็เปิดหลักสูตรใหม่ เมอร์ฟีกลับมองว่าเป็นเรื่องน่ากังวลที่เด็ก ๆ รุ่นใหม่จะต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ครอบงำไปด้วยสื่อโซเชียล “เราทุกคนต่างระมัดระวังถึงผลกระทบของอินเทอร์เน็ตและชีวิตบนโลกออนไลน์ ผมมองว่าเด็ก ๆ หลายคนในยุคนี้ ที่ชีวิตของเขาเหมือนถูกกลืนเข้าไปในอุปกรณ์เหล่านี้ การใส่ความเห็นอกเห็นใจกันลงไปในหลักสูตรนั่นสิ ผมว่าเรื่องนี้เป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมกว่านะ”
แอนนาเบลล์ วอลลิส ผู้รับบท ‘เกรซ’ ภรรยาของ โธมัส เชลบี้ ใน ‘Peaky Blinders’ พูดถึงเมอร์ฟีในเรื่องที่เขาตัดขาดตัวเองจากโลกโซเชียลว่า มันทำให้เขา “ดูลึกลับและมีเสน่ห์”
7.ย้ายกลับไปอยู่ไอร์แลนด์ เพราะไม่อยากให้ลูกมีสำเนียงอังกฤษ
เมอร์ฟีภูมิใจในความเป็นลูกหลานชาวคอร์ก (Cork) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของไอร์แลนด์ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ และเขามองหาโอกาสกลับไปใช้ชีวิตในไอร์แลนด์อยู่เสมอ ครั้งหนึ่ง เมอร์ฟีเคยพูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างพูดคุยในรายการพอดแคสต์ ‘Armchair Expert’ ว่า วันหนึ่งเขารู้สึกว่าลูกชายทั้งสองของเขาเริ่มพูดติดสำเนียงอังกฤษไปเสียแล้ว เขาจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับถิ่นฐานเดิมในไอร์แลนด์ “ผมอยากให้ลูกของผมเป็นชาวไอริชโดยแท้ พวกเขากำลังเข้าสู่ช่วงก่อนวัยรุ่น แล้วพวกเขาก็เริ่มมีสำเนียงอังกฤษ ซึ่งผมไม่ได้ปลื้มเอาเสียเลย ผมเลยตัดสินใจที่จะกลับบ้านในไอร์แลนด์”
นักแสดงทางฝั่งอังกฤษและยุโรปหลาย ๆ คน ที่พอมีชื่อเสียงจากการได้แสดงหนังฮอลลีวูด ต่างก็จะย้ายถิ่นฐานมาอยู่กันในสหรัฐฯ แต่สำหรับเมอร์ฟีแล้ว เขาไม่เคยคิดเช่นนั้น เมอร์ฟีมองว่าสิ่งเหล่านั้นเหมือนกับการถูกล่อลวงด้วย “แสงแดดและอาหารทะเล” ของลอสแองเจลิส แต่เขาเป็นชาวยุโรปที่มีความสุขกับฤดูกาลที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เขาก็จะเลือกอยู่ในที่ที่อากาศเหมาะกับอารมณ์ของเขาในขณะนั้น และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ “ผมเก็เหมือนชายไอริชส่วนใหญ่ ซึ่มองตัวเองว่าดูดีเมื่อสวมกางเกงขายาว ไม่ใช่กางเกงขาสั้น”
8.ชิงบท โธมัส เชลบี้ มาจาก เจสัน สตาแธม
ลองนึกภาพดู ว่าถ้าเราได้เห็น โธมัส เชลบี้ ในภาพลักษณ์ของ เจสัน สตาแธม (Jason Statham) จะออกมาเป็นอย่างไรนะ แต่ที่แน่ ๆ คือ บุคลิกของตัวละครจะต่างไปจากภาพของ คิลเลียน เมอร์ฟี กันอย่างลิบลับ สตีเวน ไนท์ (Steven Knight) ในฐานะเจ้าของโชว์ เผยว่าการที่ต้องเลือกระหว่างเมอร์ฟีกับสตาแธมนั้นเป็นเรื่องยาก
“ผมได้เจอพวกเขาทั้งสองคนในแอลเอ ผมได้คุยกับพวกเขาถึงบทบาททอมมี่ และผมตกลงใจเลือกเจสัน เหตุผลก็คือรูปร่างของเขา เจสันก็คือเจสันน่ะครับ สำหรับคิลเลียนนั้น ถ้าคุณได้เห็นเขา คุณจะรู้เลยว่านี่ไม่ใช่ทอมมี่แน่ ๆ เลย แต่ตอนนั้นผมก็โง่พอที่จะคิดไปแบบนั้นนะ”
แต่แล้วเกมมาเปลี่ยนก็ด้วยความพยายามของเมอร์ฟีเองนั่นแหละ ที่เขาส่งข้อความหา สตีเวน ไนท์ ว่า “จำไว้อย่างหนึ่งนะว่า ผมเป็นนักแสดง” ถ้าตีความหมายดี ๆ ข้อความสั้น ๆ นี้น่าจะซ่อนนัยไว้ลึก ๆ ว่าเขามีความสามารถทางการแสดงที่เหนือกว่าสเตแธม แต่ไนท์ก็เลือกที่จะตีความไปทางโลกสวยว่า “เมอร์ฟีเขาตั้งใจจะสื่อว่า วันที่ผมพบเจอเขานั้น เขายังอาจจะไม่ใช่ ทอมมี่ เชลบี้ แต่เขาก็สามารถเป็นเชลบี้ให้ได้ แล้วเขาก็เป็นได้จริง ๆ เขาซึมซับบทบาทนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันอย่างกับปรากฎการณ์มหัศจรรย์ ถึงตอนนี้ผมนึกภาพใครมาเป็นบทนี้ไม่ออกแล้วถ้าไม่ใช่เขา”
9.ทำงานเข้าขากับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้ดี
คิลเลียน เมอร์ฟี ร่วมงานกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ครั้งแรกใน ‘Batman Begins’ เขาได้รับบทเป็น ‘Scarecrow’ และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างผู้กำกับและนักแสดงคู่บุญคนนี้ เมอร์ฟีได้กลับมารับบทบาทเดิมใน ‘The Dark Knight’ และ ‘The Dark Knight Rises’และนั่นทำให้ Scarecrow’ เป็นวายร้ายในจักรวาลดีซีเพียงรายเดียวที่ได้ปรากฎตัวในหนังไตรภาคทั้งสามเรื่อง หลังจากนั้นโนแลนก็ยังเรียกใช้บริการของเมอร์ฟีอีกต่อเนื่องใน ‘Inception’ และ ‘Dunkirk’และล่าสุดเขาก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นมารับบทนำในหนังของโนแลนครั้งแรกใน ‘Oppenheimer’
เมอร์ฟีเผยว่าเขาสนุกกับการได้ทำงานร่วมกับโนแลน และเขาก็เป็นแฟนตัวยงของโนแลนด้วย ถ้าเมื่อใดโนแลนเสนอบทบาทให้เขา ไม่ว่าจะเป็นบทเล็กน้อยเขาก็ยินดีรับแสดงทุกบทบาท “ผมเปิดรับข้อเสนอของคริสเสมอ ไม่ว่าจะเป็นบทขนาดไหนก็ตาม ถ้าคริสเอ่ยปากเรียกผม ผมก็จะไปในทันที” เมอร์ฟียังออกปากชื่นชมโนแลนว่าเป็นผู้กำกับสายพันธุ์ที่หายากในทุกวันนี้ “เขายังสร้างหนังที่ท้าทายความต้องการของระบบสตูดิโอได้” และโนแลนเป็นผู้กำกับที่สามารถ “สร้างผลงานที่น่าสนใจในสเกลใหญ่” ในขณะเดียวกัน โนแลนเองก็ชื่นชมในตัวเมอร์ฟีด้วยเช่นกัน เขาเคยพูดถึงเมอร์ฟีในบทสัมภาษณ์กับ GQ ว่า “คิลเลียน เมอร์ฟี เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละครเวทีหรือภาพยนตร์ การได้ร่วมงานกับเขาหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก”
10.บางครั้งเขาก็รู้สึกกระดากอายกับอาชีพนักแสดง
อาจกล่าวได้ว่า เมอร์ฟีเป็นนักแสดงคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เพียงแค่สวมบทบาทนั้น ๆ แต่เขาได้กลายเป็นตัวละครตัวนั้นจริง ๆ แต่ตัวเมอร์ฟีเองกลับไมได้รู้สึกภาคภูมิใจกับความสามารถในจุดนี้ของเขา ครั้งหนึ่งเขาได้พูดคุยกับ GQ ว่า “ผมกลับรู้สึกอับอายเสียด้วยในบางครั้ง เพราะว่าผมเป็นแค่นักแสดงคนหนึ่ง ในขณะที่โลกนี้ก็ยังมีอาชีพแพทย์ และ พยาบาล ที่กำลังทำงานกันอยู่ ผมหมายถึงว่า อาชีพนักแสดงนี่ได้รับค่าตอบแทนมากเกินไปด้วยซ้ำ คุณพอเข้าใจไหม ? ” เมอร์ฟีอธิบายอีกว่า เขาเหมือนพื้นที่ที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อเทียบกับผู้คนที่ได้ทำงานที่ ‘เหมาะสม’ บางทีเขาก็ย้อนกลับมามองตัวเงอว่า กับงานที่เขาต้องสวมชุดประหลาดและทำเสียงแปลก ๆ นั้นทำไปเพื่ออะไร แต่เขาก็มีคำอธิบายไว้ปลอบใจตัวเองว่า ที่จริงแล้วผู้คนก็ “ต้องการพักผ่อนด้วยการออกไปดูหนัง คนเราก็ต้องการพื้นที่ที่จะหนีจากความเป็นจริงกันบ้าง”
ส่วนตัวเขานั้น ชื่นชมในตัว ยีน แฮกแมน (Gene Hackman) ที่เกษียณตัวเองออกจากฮอลลีวูด กับการที่แฮกแมนเลือกที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ในนิวเม็กซิโก ซึ่งไม่มีใครได้พบตัวหรือได้ยินข่าวคราวจากเขาเลย เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้เขา “ผมคิดว่าเขาเขียนนิยายอยู่นะ มันเป็นงานที่มีเกียรติและสวยงามมาก ที่เขาทิ้งผลงานที่ยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลังและไปมีชีวิตใหม่ ผมชื่นชมเขาในเรื่องนี้อย่างมาก”
ที่มา : tvovermind looper IMDB wikipedia