ตลอดประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี ศิลปินต่างแสวงหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์และเชื่อมต่อกับผู้ฟังในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นวัตกรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 คือ ‘คอนเซ็ปต์อัลบั้ม’ (Concept Album) รูปแบบการเล่าเรื่องทางดนตรีที่มีเอกลักษณ์นี้ปฏิวัติวิธีการจัดโครงสร้างอัลบั้ม โดยนำเสนอการเล่าเรื่องหรือแก่นเรื่องซึ่งรวมเพลงทั้งหลายในอัลบั้มให้เป็นหนึ่งเดียวกันและพาผู้ฟังดื่มด่ำไปกับประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์
เราจะมาดูประวัติอันน่าทึ่งของคอนเซ็ปต์อัลบั้มกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นในทศวรรษที่ 1940 มาจนถึงปัจจุบัน สำรวจที่มาของคอนเซ็ปต์อัลบั้มและการพัฒนาเติบโตสู่ภูมิทัศน์ดนตรีร่วมสมัย ก้าวข้ามขอบเขตทางศิลปะ และสร้างประสบการณ์อันประทับใจให้กับผู้ฟัง
นิยามของคอนเซ็ปต์อัลบั้ม
‘คอนเซ็ปต์อัลบั้ม’ (concept album) เป็นอัลบั้มที่แต่ละเพลงในอัลบั้มเชื่อมโยงกันด้วยจุดประสงค์หรือความหมายหลักของอัลบั้มผ่านโครงสร้างการเล่าเรื่อง แก่นเรื่องหรือธีม โดยที่บทเพลงนั้นอาจเป็นเพลงร้องหรือเพลงบรรเลงก็ได้ แต่ทั้งนี้ความหมายและขอบเขตของคอนเซ็ปต์อัลบั้มก็มีความยืดหยุ่นเลื่อนไหลและแตกต่างกันไปตามยุคสมัยหรือตามมุมมองของศิลปิน ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีหรือนักวิจารณ์ เช่น ฟิโอน่า สเตอร์เกส (Fiona Sturges) จาก The Independent ได้กล่าวว่าคอนเซ็ปต์อัลบั้ม “แรกเริ่มเดิมทีใช้กับงานเพลงขนาดยาวเป็นอัลบั้มที่เพลงทั้งหมดเกิดขึ้นบนฐานของแนวคิดที่ชัดเจน แต่ทั้งนี้คำ ๆ นี้ก็ถือเป็นอัตนัยหรือเป็นมุมมองของแต่ละคน” คำจำกัดความที่พบบ่อยที่สุดมักหมายถึงแนวทางที่ใช้กันในอัลบั้มเพลงโดยเฉพาะเพลงร็อกในยุคปลาย 50s -60s ที่บทเพลงในอัลบั้มสัมพันธ์กันผ่านแก่นเรื่องหรือธีมโดยเฉพาะของอัลบั้มนั้น ๆ
ตลอดประวัติศาสตร์วงการดนตรีเราสามารถแบ่งคอนเซ็ปต์อัลบั้มออกได้เป็นคร่าว ๆ ตามโครงสร้างการเล่าเรื่อง แนวทางตามธีม หรือสไตล์ดนตรี ได้ 6 ประเภทดังนี้
คอนเซ็ปต์อัลบั้มแนวการเล่าเรื่อง – อัลบั้มเหล่านี้จะบอกเล่าเรื่องราวที่ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ มีโครงเรื่องที่ชัดเจน และแต่ละเพลงจะมีความเชื่อมโยงกัน ตัวอย่างคอนเซ็ปต์อัลบั้มในกลุ่มนี้ ได้แก่ “The Wall” ของ Pink Floyd และ “Quadrophenia” ของ The Who
คอนเซ็ปต์อัลบั้มแบบมีธีมเฉพาะ – อัลบั้มเหล่านี้จะมีแนวคิดภายใต้ธีมหรือแนวคิดหลักมากกว่าโครงเรื่อง เพลงจะสำรวจแง่มุมต่าง ๆ ภายในธีมนั้นและอาจไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องแบบเส้นตรงไล่มาตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนในกลุ่มแรก ตัวอย่างคอนเซ็ปต์อัลบั้มในกลุ่มนี้ ได้แก่ “What’s Going On” ของ Marvin Gaye และ “Ziggy Stardust and the Spiders from Mars” ของ David Bowie
คอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละคร – อัลบั้มเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา การเติบโตและประสบการณ์ของตัวละครหรือชุดของตัวละคร บทเพลงให้แง่คิด อารมณ์ และการเดินทางของตัวละคร ตัวอย่างคอนเซ็ปต์อัลบั้มในกลุ่มนี้ ได้แก่ “Arthur (Or the Decline and Fall of the British Empire)” ของ The Kinks และ “Tommy” ของ The Who
คอนเซ็ปต์อัลบั้มแนวประวัติศาสตร์หรือการเมือง – อัลบั้มเหล่านี้สำรวจเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ประเด็นทางการเมือง หรือความเห็นทางสังคม มักจะกล่าวถึงช่วงเวลาหรือบริบททางวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างคอนเซ็ปต์อัลบั้มในกลุ่มนี้ ได้แก่ “London Calling” ของ The Clash และ “To Pimp a Butterfly” ของ Kendrick Lamar
คอนเซ็ปต์อัลบั้มตามสไตล์ดนตรี – อัลบั้มเหล่านี้ทดลองกับสไตล์หรือแนวดนตรีที่แตกต่างกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในแนวดนตรีนั้น ๆ โดยอาจรวมองค์ประกอบของการเล่าเรื่องหรือความเป็นหนึ่งเดียวกันของเนื้อหาผ่านการเรียบเรียงดนตรี ตัวอย่าง ได้แก่ “OK Computer” ของ Radiohead และ “Discovery” ของ Daft Punk
คอนเซ็ปต์อัลบั้มเชิงนามธรรมหรือเชิงทดลอง – อัลบั้มเหล่านี้ท้าทายโครงสร้างการเล่าเรื่องแบบดั้งเดิมและแทนที่ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การสร้างแนวคิดเชิงนามธรรมหรือเป็นงานเชิงทดลอง อาจสำรวจธีมที่แปลกใหม่ ใช้เทคนิคล้ำหน้า หรือท้าทายขอบเขตดนตรีแบบเดิม ตัวอย่าง ได้แก่ “Dark Side of the Moon” ของ Pink Floyd และ “Biophilia” ของ Björk
จุดเริ่มต้นของคอนเซ็ปต์อัลบั้ม
ในสารคดีปี 2016 ‘When Pop Went Epic: The Crazy World of the Concept Album’ บรรยายโดย ริก เวคแมน (Rick Wakeman) ได้ให้ข้อมูลว่าคอนเซ็ปต์อัลบั้มแรกในประวัติศาสตร์วงการดนตรีคืออัลบั้ม ‘Dust Bowl Ballads’ ของ วู้ดดี้ กูทรี (Woody Guthrie) ในปี 1940 ซึ่งสัมพันธ์กันกับ The Independent ที่ถือว่าอัลบั้มชุดนี้ ‘อาจจะ’ เป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์อัลบั้มชุดแรก ซึ่งประกอบด้วยเพลงกึ่งอัตชีวประวัติที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากของแรงงานอพยพชาวอเมริกัน
ในช่วงเริ่มต้นในทศวรรษที่ 1940 และ 1950 แม้ว่าแนวคิดเรื่องคอนเซ็ปต์อัลบั้มจะยังไม่ชัดเจน แต่ก็มีตัวอย่างแรกเริ่มที่มองได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา ในช่วงเวลานั้นศิลปินที่มาพร้อมเสียงร้องอันเปี่ยมเสน่ห์อย่าง แฟรงก์ ซินาตรา (Frank Sinatra) และ แนท คิง โคล (Nat King Cole) ได้ออกอัลบั้มที่มีธีมเฉพาะเป็นของตัวเอง ตัวอย่างหนึ่งที่โดดเด่นจากยุคนี้คืออัลบั้ม ‘In the Wee Small Hours’ (1955) ของซินาตรา ซึ่งบทเพลงทั้งหลายในอัลบั้มนี้ต่างเกาะเกี่ยวกันไว้ด้วยธีมของความเหงา ความปวดร้าวใจ และการครุ่นคิดคำนึงในยามค่ำคืน แม้ว่าอัลบั้มจะไม่มีการเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่อง แต่ธีมและอารมณ์ที่เหนียวแน่นของอัลบั้มก็สร้างรากฐานสำหรับวิวัฒนาการในอนาคตของคอนเซ็ปต์อัลบั้ม
แนท คิง โคล เป็นศิลปินอีกคนหนึ่งที่นับว่าเป็นผู้บุกเบิกคอนเซ็ปต์อัลบั้มในยุคแรก ๆ จากผลงานอัลบั้ม ‘Wild Is Love’ (1960) ซึ่งเป็นชุดเพลงที่เกี่ยวกับการค้นหาความรักของชายคนหนึ่ง โดยในแต่ละเพลงก็เป็นเรื่องราวของชายคนนี้กับหญิงสาวแต่ละนางที่แตกต่างกันไป ชายหนุ่มพยายามหาคนที่ใช่แต่ก็ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเสียที จนกว่าจะมาเจอกับรักที่ตามหาในบทสรุปท้ายอัลบั้ม อัลบั้มชุดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของการมีแก่นเรื่องที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์การฟังที่น่าประทับใจและตื่นใจไม่น้อยให้กับผู้ฟัง
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นนวัตกรรมในยุคนี้และมีความสำคัญต่อการเกิดคอนเซ็ปต์อัลบั้มก็คือ การมีรูปแบบแผ่นเสียงแบบพับหรือ gatefold ในช่วงกลางทศวรรษ 1950 ซึ่งทำให้มีพื้นที่สำหรับใส่บันทึกย่อเพื่ออธิบายแนวคิดหรือคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนั่นเอง
เมื่อชาวร็อกสร้างสรรค์ผลงานผ่านคอนเซ็ปต์
คอนเซ็ปต์อัลบั้มที่เรารู้จักในปัจจุบันได้รับความนิยมและการยอมรับอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 โดยส่วนใหญ่เป็นแนวเพลงร็อก ในยุคนี้ศิลปินเริ่มทดลองกับโครงสร้างอัลบั้ม ผสมผสานเรื่องเล่าที่มีเอกภาพ และความต่อเนื่องทางดนตรี อัลบั้มแนวร็อกเหล่านี้ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่อัลบั้มหนึ่ง ๆ สามารถทำได้ ดึงดูดผู้ฟังด้วยการเล่าเรื่องที่ชวนดื่มด่ำและการเรียบเรียงดนตรีที่ทะเยอทะยาน
หนึ่งในคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่มีอิทธิพลและโดดเด่นที่สุดตลอดกาลคือ ‘Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band’ ของ The Beatles (1967) จากรูปแบบอัลบั้มดั้งเดิม The Beatles นำเสนอวงดนตรีที่สวมบทบาทสมมตินั่นคือ ‘Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band’ และนำผู้ฟังไปสู่การเดินทางทางดนตรีที่ก้าวล้ำยุค อัลบั้มนี้มีเพลง สไตล์ และอารมณ์ที่หลากหลายผสมผสานกันอย่างลงตัวเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเทคนิคการสร้างสรรค์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ความลุ่มลึกในบทเพลง และความเป็นหนึ่งเดียว ‘Sgt. Pepper’s’ จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนในวิวัฒนาการของคอนเซ็ปต์อัลบั้ม
อัลบั้มแนวร็อกที่แหวกแนวอีกชุดหนึ่งในยุคนี้คือ ‘Tommy’ (1969) ของ The Who ที่เขียนบทโดย พีท ทาวน์เซนด์ (Pete Townshend) ‘Tommy’ บอกเล่าเรื่องราวของเด็กชายหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอดที่กลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ อัลบั้มนี้ขยายขอบเขตของดนตรีร็อกด้วยการผสมผสานส่วนของการเล่าเรื่องที่พัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์ มีการใช้โมทีฟและการสร้างตัวละครต่าง ๆ ขึ้นมา ‘Tommy’ ไม่เพียงแต่แสดงความสามารถทางดนตรีของวงเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคอนเซ็ปต์อัลบั้มในฐานะรูปแบบทางดนตรีที่สามารถเปิดพื้นที่ในการเล่าเรื่องที่ทะเยอทะยานและแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น
เมื่อวงต่าง ๆ ในยุคนี้ต่างทดลองวิธีใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์บทเพลงผ่านคอนเซ็ปต์อัลบั้ม มีหรือที่วงล้ำ ๆ อย่างPink Floyd จะไม่ร่วมด้วย ‘The Dark Side of the Moon’ (1973) คือหนึ่งในคอนเซ็ปต์อัลบั้มสุดล้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เจาะลึกประเด็นในเรื่องเวลา จิตใจ และการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ อัลบั้มนี้นำเสนอการเดินทางของเสียงผ่านบทเพลงที่เชื่อมต่อถึงกัน ที่มีทั้งเพลงร้องและเพลงบรรเลง ด้วยซาวด์สเคปที่ชวนดื่มด่ำ เนื้อเพลงที่ชวนครุ่นคิด และความสอดคล้องกันของธีมหลัก ‘The Dark Side of the Moon’ จึงกลายเป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ขายดีที่สุดและได้รับคำชมเชยจากนักวิจารณ์ตลอดกาล
‘The Lamb Lies Down on Broadway’ ของ Genesis (1974) เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มแนวร็อกที่โดดเด่น อัลบั้มแผ่นคู่ชุดนี้บอกเล่าเรื่องราวที่เหนือจริงและซับซ้อนของ ‘ราเอล’ เด็กหนุ่มข้างถนนชาวเปอร์โตริโก ในขณะที่เขาเดินทางผ่านเหตุการณ์แปลกประหลาดในนิวยอร์กซิตี้ ด้วยโครงเรื่องที่ซับซ้อน ช่วงฉากที่เป็นโคลงสั้น ๆ และซาวด์แบบโปรเกรสซีฟร็อก
สานต่อคอนเซ็ปต์อัลบั้มในแนวโปรเกรสซีฟร็อก
โปรเกรสซีฟร็อกในช่วงปี 1970 เป็นแนวดนตรีที่ได้นำแนวคิดของคอนเซ็ปต์อัลบั้มมาใช้อย่างเต็มที่ ผลักดันขอบเขตของการทดลองทางดนตรีและการเล่าเรื่อง วงดนตรีโปรเกรสซีฟร็อกพยายามสร้างประสบการณ์ทางดนตรีที่ซับซ้อนท้าทายโครงสร้างเพลงแบบดั้งเดิมและเปิดรับแนวคิดที่สดใหม่ทั้งในด้านเนื้อหาและดนตรี ยุคนี้คือยุคที่เราได้เห็นการเกิดขึ้นของคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่มีความทะเยอทะยานและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
Pink Floyd ที่เราได้กล่าวถึงไปในยุคก่อนจากอัลบั้ม ‘The Dark Side of the Moon’ ก็ได้สานต่อแนวคิดของการทำคอนเซ็ปต์อัลบั้มด้วย ‘Wish You Were Here’ (1975) ที่ทำให้สถานะของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในฐานะผู้บุกเบิกคอนเซ็ปต์อัลบั้ม อัลบั้มชุดนี้สำรวจธีมของความแปลกแยก ชื่อเสียง และวงการเพลง บทเพลงไตเติลแทร็กอุทิศให้กับ ซิด บาร์เร็ตต์ (Syd Barrett) อดีตสมาชิกของวง เป็นบทเพลงที่รวบรวมความปรารถนาที่จะเชื่อมต่อถึงกันท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของโลกสมัยใหม่ไว้อย่างสวยงาม ด้วยเพลงที่เชื่อมต่อถึงกันและซาวด์สเคปที่สร้างบรรยากาศอันลุ่มลึกเป็นเอกลักษณ์ ‘Wish You Were Here’ ได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของ Pink Floyd ในการสร้างสรรค์งานผ่านคอนเซ็ปต์อัลบั้ม
Yes เป็นวงดนตรีโปรเกรสซีฟร็อกที่โดดเด่นอีกวงหนึ่งที่เปิดตัวคอนเซ็ปต์อัลบั้มของวงด้วย ‘Close to the Edge’ (1972) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมเรื่อง “สิทธารถะ” ของ แฮร์มัน เฮสเส (Hermann Hesse) และ ‘สภาวะจิตใจ’ ของวง Yes ณ ขณะนั้น เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่แสดงความเป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์และโครงสร้างเพลงที่ซับซ้อน การประพันธ์เพลงแบบยาว 3 เพลงของอัลบั้มนี้สำรวจธีมของจิตวิญญาณ การค้นพบตนเอง และความเชื่อมโยงระหว่างกันของจักรวาล ‘Close to the Edge’ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความทะเยอทะยานและความซับซ้อนที่โปรเกรสซีฟร็อกนำมาสู่คอนเซ็ปต์อัลบั้ม
Genesis ก็เป็นอีกวงหนึ่งในแนวโปรเกรสซีฟร็อกที่สานต่อการสร้างสรรค์คอนเซ็ปต์อัลบั้ม จาก ‘The Lamb Lies Down on Broadway’ ในยุคก่อน มาคราวนี้วงได้ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยอัลบั้ม ‘Selling England by the Pound’ (1973) ซึ่งเผยให้เห็นความสอดคล้องกันของแก่นเรื่องและสำรวจอัตลักษณ์ของประเทศอังกฤษ ปัญหาสังคม และความโหยหาอดีต การผสมผสานขององค์ประกอบดนตรีซิมโฟนี การเรียบเรียงที่ซับซ้อน และเนื้อเพลงที่กระตุ้นความคิดของอัลบั้มนี้ทำให้ Genesis มีชื่อเสียงในฐานะวงดนตรีสุดเก๋าแห่งโปรเกรสซีฟร็อก
‘Thick as a Brick’ ของ Jethro Tull (1972) นำคอนเซ็ปต์อัลบั้มไปสู่อีกระดับด้วยการนำเสนอเพลงเดียวที่มีความยาวต่อเนื่อง 43 นาทีโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน อัลบั้มนี้เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ล้อเลียนรูปแบบของคอนเซ็ปต์อัลบั้มเอง โดยมีตัวละครและเนื้อเพลงเชิงเสียดสี “Thick as a Brick” ที่แสดงให้เห็นถึงความช่ำชองทางดนตรีของวงและความสามารถของพวกเขาในการประดิษฐ์องค์ประกอบที่ซับซ้อนที่ไหลลื่นจากส่วนหนึ่งไปยังอีกส่วน
สู่แนวเพลงอื่นและพัฒนาการจนถึงปัจจุบัน
คอนเซ็ปต์อัลบั้มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยศิลปินจากหลากหลายแนวรับรูปแบบนี้เพื่อสำรวมแก่นเรื่อง ธีมและเรื่องเล่าที่หลากหลาย หาหนทางใหม่ ๆ ในการใช้คอนเซ็ปต์อัลบั้มถ่ายทอดแนวคิดศิลปินในแนวเพลงต่าง ๆ ได้ค้นพบวิธีใหม่ ๆ ในการรวมเอาการเล่าเรื่องที่สอดคล้องกันและความเป็นเอกภาพของเนื้อหาไว้ในอัลบั้มของพวกเขา ซึ่งขยายขอบเขตของคอนเซ็ปต์อัลบั้มออกไป
ในอาณาจักรของเพลงป๊อปและอาร์ตป๊อป เดวิด โบวี (David Bowie) ออกอัลบั้มอันทรงอิทธิพล ‘The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars’ (1972) คอนเซ็ปต์อัลบั้มนี้นำเสนอตัวละคร ‘Ziggy Stardust’ ร็อกสตาร์จากดาวดวงอื่น และว่าด้วยเรื่องของตัวตนและชื่อเสียง วิธีการที่แปลกใหม่ของโบวีในการผสมผสานการเล่าเรื่องเข้ากับเพลงป๊อปร็อกที่โฉบเฉี่ยวนี้ ได้สร้างอิทธิพลต่อศิลปินและคนดนตรีจำนวนนับไม่ถ้วน และทำให้คอนเซ็ปต์อัลบั้มกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการทดลองทางศิลปะ
โลกของฮิปฮอปเองก็ใช้รูปแบบคอนเซ็ปต์อัลบั้มด้วยเหมือนกัน โดยใช้เป็นสื่อในการถ่ายทอดเรื่องราว วิจารณ์สังคม และเล่าเรื่องส่วนตัว ตัวอย่างอัลบั้มที่โดดเด่นคืออัลบั้ม ‘To Pimp a Butterfly’ (2015) ของ เคนดริก ลามาร์ (Kendrick Lamar) อัลบั้มนี้รวบรวมประเด็นที่ลุ่มลึกและชวนครุ่นคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ การเมือง และการต่อสู้ของปัจเจกบุคคล ชื่ออัลบั้มเป็นการคารวะต่อนวนิยายเรื่อง ‘To Kill a Mockingbird’ ของฮาร์เปอร์ ลี (Harper Lee) และเป็นคำอุปมาอุปมัยถึงสิ่งที่มีความสวยงามและอิสระเหมือนผีเสื้อ ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ สไตล์ดนตรีที่หลากหลาย และธีมที่เชื่อมโยงถึงกัน ‘To Pimp a Butterfly’ ได้ผลักดันขอบเขตคอนเซ็ปต์อัลบั้มแนวฮิปฮอปและได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง
‘What’s Going On’ (1971) ของมาร์วิน เกย์ (Marvin Gaye) ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มจากแนวเพลงโซลที่ทรงอิทธิพล โดยบอกเล่าประเด็นทางสังคมและการเมืองที่สำคัญในยุคนั้นและนำเสนอเรื่องราวที่มีเอกภาพตลอดทั้งอัลบั้ม ทำให้เป็นตัวอย่างที่สำคัญของคอนเซ็ปต์อัลบั้มในแนวนี้ ‘What’s Going On’ สำรวจธีมของความอยุติธรรมทางสังคม สงคราม ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม และการค้นหาสันติภาพและความเข้าใจในโลกที่วุ่นวาย คอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนี้เล่าเรื่องผ่านมุมมองของทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนามที่กลับบ้านเพื่อรับรู้ความอยุติธรรมและความท้าทายที่ชุมชนของเขาต้องเผชิญ สะท้อนผ่านมุมมองในการทำความเข้าใจต่อสภาพสังคมในยุคนั้น
ในขอบเขตของดนตรีอาร์แอนด์บีและโซล ‘The ArchAndroid’ (2010) ของ เจเนลล์ โมเน (Janelle Monáe) โดดเด่นในฐานะคอนเซ็ปต์อัลบั้มจากแนวดนตรีนี้ อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยส่วนที่ 2 และ 3 ของคอนเซ็ปต์อัลบั้มซีรีส์ ‘Metropolis’ ของโมเนที่เป็นส่วนผสมจากองค์ประกอบของ Afrofuturism และนิยายไซ-ไฟ ‘The ArchAndroid’ สานต่อเรื่องราวในซีรีส์เกี่ยวกับหุ่นแอนดรอยด์ชื่อ ซินดี้ เมย์เวทเธอร์ ขณะที่เธอต่อสู้กับการกดขี่และสำรวจในประเด็นของความรัก ตัวตน การตระหนักรู้ในตนเอง และการปลดปล่อย ด้วยการผสมผสานแนวเพลง การเล่าเรื่องเชิงจินตนาการ และการถ่ายทอดเสียงร้องอันทรงพลัง ‘The ArchAndroid’ ทำให้สถานะของโมเนแข็งแกร่งขึ้นในฐานะศิลปินที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์
ส่วนอัลบั้ม ‘Lemonade’ (2016) ของบียอนเซ่ (Beyoncé) ก็เป็นอัลบั้มป๊อป อาร์แอนด์บีและโซล ที่เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่แหวกแนว เจาะลึกประเด็นความรัก การหักหลัง และการสร้างพลังอำนาจ สำรวจการเดินทางของผู้หญิงคนหนึ่งที่นำทางผ่านความซับซ้อนของความสัมพันธ์ ‘Lemonade’ ผสมผสานเสียงร้องของบียอนเซ่ สไตล์ดนตรี เรื่องเล่า และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เข้าด้วยกันอย่างลงตัวในการสร้างประสบการณ์ทางดนตรีที่ลึกซึ้ง
‘American Idiot’ (2004) ของ Green Day เป็นอีกหนึ่งคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ด้วยแนวคิดที่โดดเด่นซึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่สะท้อนประเด็นทางสังคมและการเมือง ติดตามเรื่องราวของ ‘Jesus of Suburbia’ ตัวเอกหนุ่มที่เริ่มต้นการเดินทางเพื่อค้นพบตัวเอง เผชิญความท้อแท้กับสังคมอเมริกันหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน และหาหนทางปลดปล่อยสังคมไปสู่สิ่งที่ดี
‘American Idiot’ วิจารณ์บรรยากาศทางการเมือง ลัทธิบริโภคนิยม การบิดเบือนของสื่อ และความแปลกแยกที่ประสบกับคนยุค 9/11 ผ่านเพลงต่าง ๆ ในอัลบั้มที่มีความเชื่อมโยงกันไม่ว่าจะเป็น “American Idiot,” “Holiday,” “Boulevard of Broken Dreams,” และ “Wake Me Up When September Ends” ในด้านดนตรีความเป็นพังก์ร็อกของ Green Day และอัลบั้มชุดนี้ได้มาพร้อมพลังที่เต็มเปี่ยม ช่วยนำพังก์ร็อกกลับคืนสู่ดนตรีกระแสหลัก มีความโดนใจผู้ฟังทั้งเนื้อหาและดนตรี
‘The Black Parade’ ของ My Chemical Romance (2006) เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่โดดเด่นที่รวบรวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับความตาย และการสะท้อนตัวตน อัลบั้มนี้พาผู้ฟังเดินทางผ่านตัวละคร ‘The Patient’ กลุ่มบุคคลที่กำลังจะตายและได้สะท้อนภาพชีวิตของพวกเขา
เนื้อหาของ ‘The Black Parade’ สำรวจและตั้งคำถามถึงแก่นแท้และความหมายของการมีชีวิตอยู่ การต่อสู้กับอัตลักษณ์ และการครุ่นคิดถึงความตาย โดยสะท้อนผ่านเรื่องของความหวัง ความสิ้นหวัง และความเป็นมนุษย์ อัลบั้มนี้โดนใจผู้ฟังจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเนื้อเพลงที่มีอารมณ์และสัมพันธ์กัน ทำให้อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์และทำให้สถานะของ My Chemical Romance แข็งแกร่งขึ้นในฐานะวงดนตรีที่ใช้รูปแบบคอนเซ็ปต์อัลบั้มเพื่อนำเสนอเรื่องราวที่มีความน่าสนใจและประเด็นที่ลึกซึ้ง และกลายเป็นอัลบั้มสำคัญในแนวเพลงอีโมและอัลเทอร์เนทีฟร็อก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของวงและแนวเพลงนี้
“Metropolis Pt. 2: Scenes from a Memory” เป็นอัลบั้มแนวโปรเกรสซีฟเมทัลจาก Dream Theatre หนึ่งในวงดนตรีแนวนี้ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจนถึงปัจจุบัน อัลบั้มชุดนี้วางจำหน่ายในปี 1999 โดยบอกเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับชายชื่อนิโคลัส (Nicholas) และการสำรวจการบำบัดด้วยการถอยย้อนกลับไปสู่ชีวิตในอดีตของเขา อัลบั้มนี้นำผู้ฟังเดินทางผ่านอดีตและปัจจุบันของ นิโคลัสผ่านชุดบทเพลงที่มีการประพันธ์ดนตรีที่งดงามและแสดงชั้นเชิงทางดนตรีอย่างสูง
แนวเพลงของเด็กแนวอย่างอัลเทอร์เนทีฟและอินดี้ ก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสในการสร้างสรรค์ผ่านคอนเซ็ปต์อัลบั้มหลุดลอยไปอย่างแน่นอน ‘OK Computer’ ของ Radiohead (1997) ผสมผสานเนื้อเพลงที่ชวนคิด ในธีมดิสโทเปีย และซาวด์สเคปแนวทดลองเพื่อสร้างประสบการณ์อัลบั้มที่ลึกซึ้งและกระตุ้นความคิด
นอกจากนี้ วงอัลเทอร์เนทีฟร็อกยอดนิยมอย่าง The 1975 ก็มีคอนเซ็ปต์อัลบั้มด้วยเหมือนกัน ใน ‘A Brief Inquiry into Online Relationships’ (2018) The 1975 ได้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี ความรัก และการพึ่งพาสังคมยุคใหม่ในการเชื่อมต่อผ่านโลกดิจิทัล ด้วยแนวดนตรีที่หลากหลายและการสำรวจเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านบทเพลงของอัลบั้มในหลากแง่หลายมุมของความซับซ้อนบนความสัมพันธ์ของมนุษย์ในยุคดิจิทัล
ส่วน ‘folklore’ (2020) ของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ก็เป็นตัวอย่างคอนเซ็ปต์อัลบั้มยุคใหม่ในขอบเขตของดนตรีอัลเทอร์เนทีฟและอินดี้ป๊อป นำผู้ฟังเข้าสู่การเดินทางที่ครุ่นคิดคำนึงและหวนคิดถึงอดีตผ่านชุดเรื่องราวและตัวละครที่เชื่อมโยงถึงกัน ‘folklore’ แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจในการแต่งเพลงของสวิฟต์และความสามารถของเธอในการสร้างบรรยากาศที่งดงามลึกซึ้งและความเป็นหนึ่งเดียวกันภายในอัลบั้ม
ศิลปินไทยเองก็รับเอาแนวทางของคอนเซ็ปต์อัลบั้มมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยเช่นกัน ‘ในทรรศนะของข้าพเจ้า’ (2539) ของมาโนช พุฒตาล คืองานคอนเซ็ปต์อัลบั้มสุดคลาสสิกของวงการดนตรีไทย เป็นอัลบั้มในตำนานของวงการโปรเกรสซีฟร็อกเมืองไทย อัลบั้มชุดนี้เป็นดนตรีแนวทดลองในรูปแบบคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ร้อยเรียงบทเพลงต่อเนื่องกันไป สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับศาสนา สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมในสังคมไทยที่ปะทะกันทางความคิดหลังผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ขณะเดียวกันก็ก้าวเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ในปี 2540 ผลงานเพลงชุดนี้จึงเป็นเสมือนการบันทึกเรื่องราวบ้านเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
’12 ราศี’ (2536) คอนเซ็ปต์อัลบั้มจากวงตาวันก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วย 12 บทเพลงที่เป็นตัวแทนบุคลิกของคนใน 12 กลุ่มดาว เช่นในเพลง “นักคิด” เป็นตัวแทนของราศีกุมภ์ที่หัวใจเปิดกว้างรับต่อทุกสรรพสิ่ง เป็นนักค้น นักคิด ประดิษฐ์ และช่างฝัน แต่บางครั้ง ดื้อรั้น ดึงดัน “กลับบ้าน” เป็นตัวแทนของราศีกรกฎ ผู้ที่รักบ้านสุดชีวิตจิตใจ และมีความอ่อนไหวสูง แม้จะไม่ช่ำชองในเรื่องรัก แต่เรื่องซื่อสัตย์นั้นไม่เป็นรองใคร หรือ “ห่วงใย” เป็นตัวแทนของราศีสิงห์ สัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ อำนาจ และทนงในศักดิ์ศรีแต่บางครั้งก็มีความอ่อนไหวอยู่ลึก ๆ งานดนตรีในอัลบั้มนี้ถ่ายทอดคุณลักษณะของแต่ละราศีออกมาได้เป็นอย่างดี ใครเกิดราศีไหนลองไปหาฟังกันดูว่าท่วงทำนองของบทเพลงนั้นบ่งบอกความเป็นตัวเราไหม
‘เรือสำราญราตรีอมตะ’ อีพีอัลบั้มของ ‘HUGO’ หรือ ‘เล็ก-จุลจักร จักรพงษ์’ ในปี 2564 เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่มีไอเดียจากข่าวที่มหาเศรษฐีและผู้คนบนโลกมากมายเริ่มมองอวกาศเป็นพื้นที่สำหรับการท่องเที่ยว จึงเกิดภาพจำลองที่สะท้อนความเป็นไปของสังคมและนำเสนอในแบบ Sci-Fi จินตนาการไปสู่อนาคตที่อาจเกิดขึ้นจริงได้ในสักวัน อัลบั้มนี้มีเพลงทั้งหมด 6 เพลงได้ ‘ฟองเบียร์-ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม’ และ ‘ติ๊ก Playground’ มาช่วยสร้างสรรค์และร้อยเรียงทั้งท่วงทำนองและเนื้อร้องของทั้ง 6 เพลงให้กลมกลืนและเชื่อมร้อยไปอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานการเล่าเรื่องด้วยเนื้อหาจิกกัด เสียดสี สะท้อนสังคมอย่างมีชั้นเชิงทางภาษาและแพรวพราวไปด้วยดนตรีครบเครื่อง ออกมาเป็นงานดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบฮิวโก้
ล่าสุดกับ ‘ธาตุทองซาวด์’ คอนเซ็ปต์อัลบั้มจากแรปเปอร์หนุ่ม ‘YOUNGOHM’ ที่มาพร้อมความแปลกใหม่ ทั้งเนื้อเพลง ดนตรี การเล่าเรื่องราว อันผสมผสานไปกับแนวดนตรีฮิปฮอป ผ่านบทเพลงทั้ง 19 ที่สะท้อนประสบการณ์ เรื่องราวและความทรงจำส่วนตัวของโอม ที่ผู้ฟังจะรู้สึกเหมือนกับกำลังดูหนังชีวิตของโอมที่เป็นตัวละครหลักร่วมกับเหล่าเพื่อนพ้องในรั้วโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง ผ่านเรื่องราวของความสัมพันธ์ ความฝันและความรัก ผสานกับความคะนองของวัยรุ่นและมุมมองที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รายล้อมรอบชีวิตของตนเอง
คอนเซ็ปต์อัลบั้มได้กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ศิลปินได้ใช้ในการถ่ายทอดความคิดและมุมมองของตัวเองอย่างลึกซึ้งและสร้างสรรค์ซึ่งพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ศิลปินในยุคนี้ยังคงสำรวจและเรียนรู้รูปแบบคอนเซ็ปต์อัลบั้มต่อไป โดยผสมผสานเข้ากับมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และสุนทรียภาพทางดนตรีของตน ตัวอย่างเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่าคอนเซ็ปต์อัลบั้มยังคงเป็นรูปแบบของการแสดงออกทางดนตรีที่มีชีวิตชีวาและมีความสำคัญ ช่วยให้ศิลปินสามารถสร้างโลกที่ชวนดื่มด่ำ สำรวจธีมและประเด็นที่ลึกซึ้ง และเชื่อมต่อกับผู้ฟังในระดับที่ลึกยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ที่มา
A Brief History of the Concept Album
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส