แม้ที่ผ่านมาตลอด 40 ปีในวงการ ทอม ครูซ (Tom Cruise) จะเป็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์ที่การันตีด้วยความทุ่มเทที่ไร้ขีดจำกัด กลายเป็นผลงานการแสดงที่ได้รับความนิยมในทุกยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน แต่ชีวิตอีกด้าน เขาเองก็เคยมีกระแสข่าว ทั้งความเชื่อในลัทธิไซแอนโทโลจี (Scientology) ลัทธิประหลาดที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องหย่ากับภรรยาถึง 2 ครั้ง รวมทั้งการทำงานที่มุ่งมั่นในความสมบูรณ์แบบจนหลายคนมองว่าเข้าขั้นบ้าคลั่ง ขอพาไปย้อนดูชีวิตอีกด้านของครูซ กับสิ่งที่เขาต้องแลกมา กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้


ทอม ครูซ กับดราม่าลัทธิไซแอนโทโลจี

scientology-tom-cruise

หากพูดถึงข่าวฉาวที่ติดตัว ทอม ครูซ มานานนับสิบปี ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของเขากับลัทธิแปลก ๆ ที่เรียกว่า ไซแอนโทโลจี (Scientology) ลัทธิที่ให้กำเนิดโดยนักเขียนชาวอเมริกัน แอล รอน ฮับบาร์ด (L. Ron Hubbard) ในปี 1952 ซึ่งเป็นลัทธิที่สอนให้ผู้คนเข้าใจในจิตวิญญาณตามธรรมชาติของตัวเองต่อสังคม เพื่อนมนุษย์ ธรรมชาติ และจักรวาล รวมทั้งใช้วิทยาศาสตร์ประยุกต์ในการบำบัดความเจ็บปวดในอดีต

รวมทั้งความเชื่อที่ว่าร่างกายมนุษย์นั้นมีวิญญาณของมนุษย์ต่างดาวอยู่ภายใน ซึ่งครูซเองก็เป็นหนึ่งในคนดังที่ประกาศอย่างเปิดเผยว่า ตัวเองนับถือคำสอน และศาสดาของลัทธินี้อย่างเหนียวแน่นมานานกว่า 30 ปี จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของลัทธินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ย้อนกลับไปในวัยเยาว์ โธมัส ครูซ มาโปเตอร์ที่ 4 (Thomas Cruise Mapother IV) เติบโตมาในภาวะยากลำบาก ด้วยฐานะที่ไม่ค่อยสู้ดี และพ่อแม่แยกทางกัน ครูซในวัยเด็กยังต้องประสบกับปัญหาจากอาการภาวะการเรียนรู้บกพร่อง หรือ ดิสเล็กเซีย (Dyslexia) ตั้งแต่ 7 ขวบ ทำให้เขาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ มีปัญหาในการเรียนรู้ ผลการเรียนย่ำแย่ และมักโดนเพื่อนหัวเราะเยาะสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่เขาต้องย้ายไปโรงเรียนใหม่ แต่หลังจากที่ครูซได้เข้ารับการรักษาผ่านวิทยาการของลัทธิ ก็ทำให้ครูซหายจากอาการอย่างปลิดทิ้ง

หลังจากนั้นในปี 1986 ครูซได้รับการแนะนำให้รู้จักลัทธินี้อีกครั้งอย่างเป็นทางการ ผ่านทางนักแสดงสาว มีมี โรเจอร์ส (Mimi Rogers) อดีตภรรยาคนแรก เพราะพ่อของมีมี เป็นเพื่อนกับผู้ก่อตั้งลัทธิอย่างฮับบาร์ด ก่อนที่ครูซจะเปิดเผยว่าให้การสนับสนุนลัทธินี้อย่างจริงจังในช่วงปี 2000

แม้ครูซจะหย่าขาดกับมีมีในปี 1990 และตัวของมีมี่ก็ได้ออกจากการเป็นสมาชิกของลัทธินี้แล้ว แต่ครูซก็ยังคงอยู่ในลัทธินี้ต่อไป ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับลัทธิที่สุดโต่ง ทั้งการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อเข้ารับการบำบัด คำสอนแปลกประหลาด เช่นการนับถือมนุษย์ต่างดาว การห้ามใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาโรค ต่อต้านศาสตร์​ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา การบังคับให้เข้ารีตในลัทธิเป็นระยะเวลานับพัน ๆ ปี

รวมทั้งการที่มีอดีตสมาชิกของลัทธิหลายคนออกมาแฉถึงด้านมืดของลัทธินี้ ทั้งการได้รับการละเว้นการตรวจสอบที่มาของรายได้ การบังคับกักขังหน่วงเหนี่ยว การบังคับใช้แรงงานเด็ก หากใครสงสัยในคำสอน หรือเปิดเผยความลับของลัทธิ ก็จะต้องถูกปรับทัศนคติในสถานกักกัน และลงโทษด้วยวิธีการรุนแรง ทั้งการให้ขัดส้วมด้วยแปรงสีฟัน ลอกท่อในยามวิกาล หรือเร่ขายหนังสือของลัทธิที่ข้างถนน เป็นต้น

ต่อมา ครูซได้คบหากับ นิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) ภรรยาคนที่ 2 กลางกองถ่ายหนัง ‘Days of Thunder’ (1990) ซึ่งต่อมาก็มีข่าวว่าครูซได้ชักชวนคิดแมนเข้าร่วมลัทธินี้ด้วย หลังใช้ชีวิตด้วยกันมายาวนานกว่า 11 ปี ครูซและคิดแมนก็ตัดสินใจหย่ากันในปี 2001 ซึ่งภายหลัง คิดแมนได้เปิดเผยกับรายการข่าว Today ว่า ที่ทั้งคู่ตัดสินใจหย่ากันเพราะว่า เธอต้องการอยากจะมีชีวิตในแบบวัยรุ่นบ้าง

Tom Cruise

แต่อดีตเจ้าหน้าที่ขององค์กรคนหนึ่งของลัทธิ เคยออกมาแฉ ในสารคดีแฉลัทธิไซแอนโทโลจี ‘Going Clear: Scientology and the Prison of Belief’ ของ HBO ว่า เหตุผลที่แท้จริงของการหย่าร้างนั้นเป็นเพราะครูซ ที่อ้างว่า ผู้นำลัทธิคนที่ 2 อย่าง เดวิด มิสคาวิก (David Miscavige) เกิดความไม่เชื่อใจในคิดแมน เพียงเพราะพ่อของเธอเป็นนักจิตวิทยา จนทำให้องค์กรต้องหาวิธีการในการทำให้ทั้งคู่หย่ากัน หนักข้อจนถึงขั้นจ้างนักสืบเอกชนเพื่อตามสอดแนม

ในขณะที่เว็บไซต์ Page Six ได้รายงานว่า ครูซได้ทำการดักฟังโทรศัพท์ของคิดแมน รวมทั้งพยายามล็อบบี้ลูกบุญธรรมทั้งสองที่เข้าลัทธิให้ตีตัวออกห่างคิดแมน และยังมีข่าวตามมาอีกว่า หลังหย่ากับคิดแมน ลัทธิได้พยายามจัดหาหญิงสาวเพื่อมาเป็นภรรยาคนใหม่ของครูซ ด้วยการออดิชันหนังเรื่องใหม่บังหน้า ซึ่งในภายหลังทั้งครูซและทางลัทธิได้ออกมาปฏิเสธในเรื่องนี้และโจมตีสื่อที่เล่นข่าวดังกล่าวอย่างรุนแรง

บรูค ชิลด์ (Brooke Shields) นักแสดงสาวสวยเซ็กซี่ยุค 80s ก็เป็นอีกคนที่เคยมีดราม่ากับครูซ แม้จะเคยแสดงร่วมกันมาแล้วในหนัง ‘Endless Love’ (1981) เมื่อปี 2004 ชิลด์ได้เปิดเผยเรื่องราวสุดรันทดในหนังสือ ‘Down Came the Rain’ เมื่อเธอต้องพบเจอกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอดบุตร ทำให้เธอต้องใช้ยาต้านอาการซึมเศร้า

แต่ครูซกลับออกมาตำหนิเธอออกสื่อในระหว่างสัมภาษณ์โปรโมตหนัง ‘War of the Worlds’ (2005) ว่าการกระทำของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ความรับผิดชอบ และแสดงความคิดเห็นว่า จิตวิทยา รวมทั้งความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองและจิตเวชนั้นเป็นวิทยาศาสตร์เทียม แน่นอนว่าเล่นเอาชิลด์ถึงกับโกรธจัด และออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน จนทำให้ครูซถึงกับขับรถไปขอโทษเธอด้วยตัวเองที่บ้าน และกลับมาคืนดีกันเช่นเดิม

หลังจากผิดหวังกับความรักมา 2 ครั้ง 2 ครา ในปี 2005 ครูซกลับมากระดี๊กระด๊าอีกครั้ง เนื่องจากมีข่าวออกมาว่า เขากำลังซุ่มคบกับแสดงสาวรุ่นเกือบลูกอายุห่างกันเกือบ 30 ปีอย่าง เคที โฮล์มส์ (Katie Holmes) ที่ถึงขั้นทำให้ครูซ พระเอกหนุ่มมาดสุขุม เสียอาการ กระโดดกระเด้งไปมาด้วยความร่าเริงต่อหน้า โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) ในระหว่างสัมภาษณ์ในรายการ ‘The Oprah Winfrey Show’

scientology-tom-cruise

ในเวลานั้นเริ่มมีกระแสข่าวว่า ครูซกลายมาเป็นสาวกสำคัญลำดับที่ 2 กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับของสมาชิกลัทธิไปแล้วเนื่องจากครูซได้ทุ่มทุนบริจาคเงินให้กับลัทธินี้ไปอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันที่เขาก็ได้กลายเป็นพ่อคนจริง ๆ หลังจากที่ครูซและโฮล์มส์ได้ให้กำเนิดลูกสาว ซูริ ครูซ (Suri Cruise) ซึ่งมีข่าวว่าครูซเองก็พยายามจะชักจูงให้ซูริเข้าสู่ลัทธิฉาว

แต่โฮล์มส์เองก็พยายามจะดึงลูกสาวตัวน้อยให้ออกห่างจากลัทธินี้ด้วยเช่นกัน จนกลายเป็น 6 ปีแห่งความอึดอัด ที่นำไปสู่การฟ้องหย่าในปี 2012 ผลการฟ้องตัดสินให้ซูริอยู่ในการดูแลของโฮล์มส์ ส่วนครูซก็ยังส่งเสียเงินเลี้ยงดูให้ตลอด ท่ามกลางกระแสข่าวว่า โฮล์มส์ได้เซ็นสัญญาว่าจะไม่กล่าวร้ายใด ๆ ถึงลัทธิไซแอนโทโลจีเด็ดขาด และครูซมีสิทธิ์พบกับซูริเดือนละ 10 วัน

Tom Cruise

แต่สุดท้าย จะด้วยตารางงาน หรือการที่สมาชิกของลัทธิต้องการให้ครูซตัดการติดต่อกับโฮล์มส์ เพราะมองว่าเธอเป็นบุคคลที่เข้าข่ายต่อต้านลัทธิ และเป็นตัวต้นเหตุปัญหาต่อสมาชิกระดับสูง ทำให้มีรายงานจากวงในของ Daily Mail ที่เผยว่า เรื่องนี้ทำให้ครูซไม่ได้กลับไปเจอกับซูริอีกเลยนับสิบปี ซูริในช่วงวัยรุ่นอายุ 17 ปี แทบจะไม่รู้จักครูซในฐานะพ่ออีกต่อไป

ไซแอนโทโลจี ยังส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างครูซอีกไม่น้อย ทั้งอดีตภรรยาอย่างคิดแมน ที่เว็บไซต์ RadarOnline อ้างจากแหล่งข่าวว่า เธอไม่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานแต่งงานของคอนเนอร์ ลูกชายบุญธรรมของทั้งคู่ เพียงเพราะว่าครูซไม่อยากจะเห็นหน้าเธออีก รวมทั้งการกระโดดออกทีวี และการตำหนิ บรูค ชิลด์ ก็ทำให้ผู้กำกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ที่เคยร่วมงานกับครูซใน ‘War of the Worlds’ ถึงกับไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ส่วน เซธ โรแกน (Seth Rogen) ก็เคยออกมาเปิดเผยระหว่างโปรโมตหนัง ‘The Fabelmans’ ว่า ครูซเคยชวนเขา และผู้กำกับ จัตต์ แอพะทาว (Judd Apatow) เข้าลัทธิไซแอนโทโลจีด้วย ก่อนที่จะปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม

ในปัจจุบันนี้ แทบไม่มีใครรู้ว่า ครูซยังคงศรัทธาตามคำสอนของลัทธิหรือไม่ แต่ก็มีข่าวลือจากแหล่งข่าวใกล้ชิดที่เปิดเผยว่า ลัทธิไซแอนโทโลจี เป็นตัวบ่อนทำลายชีวิตคู่ของครูซมากถึง 2 ครั้ง 2 ครา และตีตัวออกห่างจาก เดวิด มิสคาวิจ เจ้าลัทธิและเพื่อนของครูซด้วยเช่นกัน


ดราม่าสารพัดจากความ Perfectionist

Tom Cruise

ครูซนอกจากจะขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงที่เป็นสุภาพบุรุษ และทุ่มเทกับการทำงานอย่างเต็มที่ แต่ในอีกด้าน เขาเองก็มีนิสัยรักในความสมบูรณ์แบบถึงระดับเข้าขั้นบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน คนหนึ่งที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ดีก็คือ ไอลีน เบอร์ลิน (Eileen Berlin) อดีตผู้จัดการส่วนตัวคนแรก และผู้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ ให้ที่อยู่อาศัยแก่ครูซในวัยหนุ่ม ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับ Daily Mail ว่า แม้ครูซจะเป็นคนที่มีมารยาทและการวางตัวที่ดี แต่เขาก็มีความอารมณ์ร้าย อารมณ์เสียง่าย ที่เธอเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นการตกทอดมาจากพ่อที่เป็นคนเจ้าอารมณ์และเคยทำร้ายครูซในวัยเด็ก

เบอร์ลินเผยว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยเอาภาพที่ลงในนิตยสารวัยรุ่นมารวมเป็นอัลบั้มเพื่อให้ครูซได้ดูตอนวันเกิดครบอายุ 19 ปี แต่ครูซกลับตะคอกว่า เขาไม่อยากจะลงนิตยสารวัยรุ่น เพราะเขามองว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่นักแสดงวัยรุ่นแนวไอดอล ก่อนจะขว้างอัลบั้มใส่เธออย่างรุนแรง

ตอนที่เขาได้เซ็นสัญญากับบริษัท ‘Creative Artists Agency’ ครูซเลือกที่จะถ่ายรูปหลายรูปแบบ หลากอารมณ์ส่งไปให้เอเจนซี และตอนที่เขาได้แสดงหนังเรื่อง ‘Risky Business’ (1983) ครูซได้เขียนข้อตกลง 11 ข้อ ที่มีรายละเอียดต่าง ๆ ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น ต้องจ่ายค่าตัว 75,000 เหรียญต่อสัปดาห์ก่อนถ่ายทำ

พร้อมกับข้อเรียกร้องอื่น ๆ ที่เรียกได้ว่าเข้าขั้นเอาแต่ใจ ทั้งการขอเครื่องบินไปกลับชั้นเฟิร์สคลาส และต้องมีห้องพักและห้องแต่งตัวที่มีอุปกรณ์เพรียบพร้อม จนทำให้เบอร์ลินเผยว่า แม้ความ Perfectionist ของครูซจะนำพาให้เขาประสบความสำเร็จ แต่ในระหว่างที่เธอดูแลเขา เธอไม่เคยเห็นครูซดูมีความสุขจริง ๆ นอกจากความต้องการอยากจะเป็นดาราดังเท่านั้น

Tom Cruise

ความ Perfectionist ของครูซอีกอย่างก็คือ การทำงานในกองถ่าย ที่นอกจากครูซจะเลือกแสดงฉากแอ็กชันเองเพื่อให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อปี 2020 ในระหว่างการถ่ายทำ ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ สำนักข่าว The Sun ได้ปล่อยคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นเสียงของ ทอม ครูซ กำลังตะคอกต่อว่าทีมงานอย่างรุนแรง

หลังพบว่ามีพนักงาน 2 คนยืนใกล้กันมากกว่า 2 เมตรเพื่อดูมอนิเตอร์ระหว่างถ่ายทำในประเทศอังกฤษ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งเคยต้องเลื่อนการถ่ายทำ หลังจากมีทีมงานส่วนหนึ่งติดโควิด ในคลิปนั้น ครูซได้ตะคอกด่ารุนแรงว่า กองถ่ายหนังเรื่องนี้ทำให้ทีมงานได้กลับมาทำงานในฮอลลีวูดอีกครั้ง การย่อหย่อนในมาตรการอาจทำให้ทีมงานหลายคนขาดรายได้ พร้อมตะโกนทิ้งท้ายว่าอย่าให้เห็นอะไรแบบนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะไล่ออกอย่างแน่นอน

ครูซในปัจจุบันเลือกที่จะไม่ให้สัมภาษณ์ในประเด็นส่วนตัวมากนัก มีข่าวว่า ครูซได้สั่งห้ามไม่ให้นักข่าวถามเรื่องรายได้ เรื่องส่วนตัว และเรื่องเกี่ยวกับลัทธิไซแอนโทโลจี และหันไปมุ่งเน้นด้านการแสดงอย่างเต็มที่ แม้ครูซเองจะมีดราม่าอยู่ไม่น้อย แต่เขาเองก็ขึ้นชื่อเรื่องของการช่วยเหลือผู้คน ให้ของขวัญทั้งทีมงานและนักแสดงอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งเคยช่วยชีวิตคนอีกหลายครั้ง

ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับครูซ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ครูซคือซูเปอร์สตาร์ยอดฝีมือที่เลือกจะปล่อยให้งานพิสูจน์ตัวเอง และเป็นในแบบของตัวเขาเอง มากกว่าจะพยายามทำเรื่องส่วนตัวให้ถูกใจคนทุกคน



พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส