‘The Blind Side’ หรือชื่อไทยว่า “แม่ผู้นี้มีแต่รักแท้” เป็นภาพยนตร์ปี 2009 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในทุก ๆ ด้าน หนังทำรายได้ทั่วโลกไป 309 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียงแค่ 29 ล้านเหรียญ ได้คะแนนบน Rottentomatoes ไปที่ 66% และสิ่งที่น่าจดจำที่สุดก็คือ นี่คือหนังที่ส่งให้ แซนดรา บุลล็อก (Sandra Bullock) คว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปได้
หนังดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ ‘The Blind Side: Evolution of a Game’ ประพันธ์โดย ไมเคิล เลวิส (Michael Lewis) ตีพิมพ์เมื่อปี 2006 ในหนังสือมีเนื้อหาส่วนหนึ่งเล่าถึงชีวิตของ ไมเคิล ออร์ (Michael Oher) เด็กวัยรุ่นผิวดำร่างใหญ่ยักษ์ จนผู้คนตั้งฉายาเขาว่า “Big Mike” เขาเกิดในครอบครัวระดับล่าง มีแม่ที่ติดยา หลังจากเขาเกิดได้ไม่นาน พ่อก็แยกทางกับแม่ แล้วไปเสียชีวิตในเรือนจำ ไมค์มีพี่น้องมากถึง 12 คน แต่พอโตขึ้นมาก็แยกกันไปใช้ชีวิตตัวใครตัวมัน ส่วนไมค์ก็ต้องเข้าออกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่เป็นประจำ บางคืนก็ไปอาศัยนอนตามโซฟาบ้านเพื่อน เป็นอย่างนี้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ด้วยชีวิตแบบนี้ทำให้เขาไม่ได้เข้าเรียนอย่างจริงจง ในช่วงประถมมาจนถึงมัธยม ไมค์ย้ายโรงเรียนถึง 11 แห่ง และเรียนซ้ำชั้นอยู่หลายปี พออายุ 15 พ่อของเพื่อนสนิทก็ฝากฝังไมค์ให้ไปเรียนในโรงเรียนคริสเตียนชื่อดังในย่านคนผิวขาว และโรงเรียนนี้ล่ะ ที่เปลี่ยนชีวิตของไมค์ เพราะเขาได้พบกับ ลีห์ แอน ทูฮี (Leigh Anne Tuohy) เศรษฐีณีผู้มีจิตเมตตา เธอรับอุปการะไมค์ไปดูแลที่บ้าน มีห้องนอนส่วนตัวให้ จากจุดนี้ทำให้ไมค์ได้แสดงพรสวรรค์ทางด้านอเมริกันฟุตบอลให้เห็น เมื่อเขาเรียนจบชั้นไฮสคูล และได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แล้วก็ได้ไปเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลอาชีพ ไมค์ได้ร่วมทีม Baltimore Ravens และคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้ในปี 2013
หลายคนที่ได้ดู ‘The Blind Side’ ต่างก็ประทับใจกับเนื้อหาของหนังที่เล่าเรื่องราวได้ฟีลกู๊ด เสียน้ำตาให้กับความรักของ ลีห์ แอน ทูฮี ที่มีต่อ ไมเคิล ออร์ แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกตามสายเลือดก็ตาม และได้เห็นฝีมือการแสดงของ แซนดรา บุลล็อก ที่สมควรแก่รางวัลออสการ์ของเธอ แม้จะผ่านมา 14 ปี แล้ว ‘The Blind Side’ ก็ยังเป็นหนังในดวงใจของหลาย ๆ คน ที่หยิบมาดูซ้ำได้อีก แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าหนังเรื่องโปรดของใครหลาย ๆ คนเรื่องนี้ กลับมีเรื่องราวในโลกความเป็นจริงที่ลงเอยกันแบบหักมุมคนละอารมณ์กับที่เราได้เห็นในหนังกันเลย
วันนี้ ไมเคิล ออร์ ตัวจริงในวัย 37 ปี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม ออร์อ้างว่าคู่สามีภรรยาทูฮี ที่รับเขามาดูแลในช่วงวัยรุ่นนั้น ทำให้เขาเข้าใจผิดว่ารับเขามาในฐานะบุตรบุญธรรม (Adoption) แต่แท้จริงแล้วครอบครัวทูฮีกับเขานั้นอยู่ในสถานะ ผู้พิทักษ์ดูแล (conservatorship) และผู้ที่อยู่ในความปกครองหรือความพิทักษ์ (Ward) ต่างหาก
“ลีห์ แอน ทูฮี และ ฌอน ทูฮี โกหกไมเคิลว่าได้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อจุดประสงค์ในการตักตวงผลประโยชน์จากผู้ที่ในความปกครองของเขาเอง ลงนามคำร้องโดย ไมเคิล ออร์”
เนื้อหาส่วนหนึ่งจากคำร้องที่ ไมเคิล ออร์ ยื่นต่อศาล เชลบี เคาน์ตี้ ในเทนเนสซี เพื่อถอดถอนอำนาจในการเป็นผู้พิทักษ์ดูแล
หลังจาก ไมเคิล ออร์ ประสบความสำเร็จในเส้นทางนักอเมริกันฟุตบอลอาชีพ และกลายเป็นดาราใน NFL และเรื่องราวของเขาก็ถูกนำไปเขียนเป็นนิยาย ‘The Blind Side: Evolution of a Game’ จนเมื่อสตูดิโอฟอกซ์สนใจดัดแปลงนิยายเล่มนี้เป็นภาพยนตร์ และจำต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการใช้ชื่อ ความคล้ายคลึงในเรื่องราวและชีวิตส่วนตัวให้กับครอบครัวทูฮีเป็นเงิน 225,000 เหรียญ และยังจ่ายส่วนแบ่ง 2.5% จากรายได้ภาพยนตร์อีกต่างหาก หลังจากหนัง ‘The Blind Side’ ทำรายได้ไปเกิน 300 ล้านเหรียญ ทางฟอกซ์ก็บริจาคเงิน 200,000 เหรียญ ให้กับมูลนิธิของ ลีห์ แอน ทูฮี
ในเอกสารคำร้องที่ ไมเคิล ออร์ ยื่นต่อศาลยังระบุด้วยว่า ตัวเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ จากภาพยนตร์เรื่องนี้เลย และภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายหลังจากที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วด้วย ไม่มีผลกระทบต่อการเป็นนักกีฬาในสังกัด สมาคมกีฬาระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (NCAA) แต่อย่างใด ซึ่ง ไมเคิล ออร์ อ้างว่าเขาไม่เคยลงนามในเอกสารข้อตกลงใด ๆ ที่อนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขา แต่เอกสารดังกล่าวกลับมีลายเซ็นที่ดูเหมือนเป็นลายเซ็นของเขา แต่ ไมเคิล ออร์ ก็ยังยืนยันว่า
“ไม่มีใครเคยเอาเอกสารพวกนี้ให้เขาดูและไม่เคยมีคำอธิบายใด ๆ เกี่ยวกับเอกสารเหล่านี้”
ตามคำร้องนี้ ไมเคิล ออร์ ได้กล่าวหาสามีภรรยาทูฮีว่า ได้ฝ่าฝืนหน้าที่ที่ได้รับความไว้วางในฐานะผู้พิทักษ์ดูแล “อย่างน่ารังเกียจและน่าตกใจทั้งที่พวกเขาก็ได้รับอนุมัติสิทธิ์จากศาลนี้”
หลังจาก ไมเคิล ออร์ ตกอยู่ในสถานะเป็นเด็กเร่รอนไร้บ้าน เขาเข้ารับการลงทะเบียนเป็นเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของรัฐเทนเนสซีเมื่ออายุได้ 11 ปี หลังจากนั้น พ่อของเพื่อนของไมค์ ก็ได้ช่วยให้เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียน ไบรเครสต์ คริสเตียน (Briarcrest Christian School) ที่นี่ทำให้ไมค์ได้เล่นบาสเก็ตบอล และ ฟุตบอล เพื่อน ๆ ของไมค์รู้จักและเข้าใจดีว่า ไมค์เป็นเด็กไร้บ้านไม่มีครอบครัว เพื่อน ๆ จึงมักจะให้ไมค์มาอาศัยหลับนอนอยู่ที่บ้านพวกเขา
“ในขณะที่พ่อแม่ของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นของไมเคิลมองเห็นว่า ไมเคิลเป็นเด็กดีคนหนึ่งที่ตกระกำลำบากและต้องการความช่วยเหลือ แต่ ลีห์ แอน และ ฌอน ทูฮี ผู้รับเป็นผู้พิทักษ์ดูแลกลับมองเห็นในแง่มุมที่แตกต่าง ในสายตาพวกเขา ไมเคิลคือเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ทางด้านกีฬาและน่าจะนำไปใช้หาประโยชน์เพื่อตัวเขาเองได้” เนื้อหาในส่วนหนึ่งของคำร้องระบุไว้
ไมเคิล ออร์ ยังอ้างอีกว่า ในช่วงฤดูร้อนก่อนเรียนจบ เดือนกรกฎาคม ปี 2004 ในวันนั้นเขาเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่สามีภรรยาทูฮีก็ได้เสนอให้เขายังคงพักอยู่กับพวกเขาในบ้านหลังเดิม เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิทางกฎหมายที่เขาเป็นพ่อแม่บุญธรรม และไมค์ก็เชื่อตามคำกล่าวอ้างนั้น
ในเดือนกุมภาพันธ์ สามีภรรยาทูฮีนำเอกสาร “การมอบสิทธิ์เป็นผู้พิทักษ์ดูแล” มาให้ ไมเคิล ออร์ เซ็น พวกเขาอธิบายกับไมเคิลว่า เพราะเขาไม่ใช่ผู้เยาว์อีกต่อไปแล้ว เอกสารจึงใช้คำนี้แทนคำว่า “บุตรบุญธรรม” ไมค์เองก็เข้าใจว่านี่คือเอกสารส่วนหนึ่งใน “กระบวนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม” แต่แท้จริงแล้วนี่คือเอกสารที่มอบอำนาจให้ผู้พิทักษ์ดูแลลิดรอนสิทธิตามกฎหมายของเขาไป
“สามีภรรยาทูฮีไม่เคยบอกไมเคิลเลยว่าพวกเขาจะมีสิทธิ์ขาดในการควบคุมดูแลสัญญาทั้งหมดของเขา และไมเคิลก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าถ้าเขามอบหมายอำนาจในการเป็นผู้พิทักษ์ดูแลให้กับสามีภรรยาทูฮีไปแล้ว นั่นเท่ากับว่าเขากำลังเซ็นมอบสิทธิทางกฎหมายของเขาไปด้วย”
อำนาจในการเป็นผู้พิทักษ์ดูแลของสามีภรรยาทูฮีมีผลต่อไปจนกระทั่งไมเคิลอายุ 25 ปี หรือจนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิกจากศาล แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่เคยถูกยกเลิกเลย ไมเคิล ออร์ กล่าวในเอกสารคำร้อง
จุดมุ่งหมายของคำร้องนี้ นอกเหนือจากเรียกร้องต่อศาลให้ยุติบทบาทอำนาจในการเป็นผู้ดูแลพิทักษ์ของสามีภรรยาทูฮีที่มีต่อ ไมเคิล ออร์ แล้ว ยังให้ศาลออกคำสั่งห้ามไม่ให้ใช้ชื่อหรืออ้างอิงภาพลักษณ์ตัวตนของเขาไปใช้ในกิจกรรมใด ๆ
ทางด้านครอบครัวทูฮีก็ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีนี้เมื่อวันอังคารที่ 15 สิงหาคมว่า ที่ผ่านมาเขาทั้งคู่ก็ได้ทำธุรกรรมใด ๆ ด้วยความตรงไปตรงมากับไมค์เสมอ ทั้งในเรื่องการเป็นผู้พิทักษ์ดูแลและการเป็นผู้อยู่ใต้การดูแล และแบ่งรายได้จากหนัง ‘The Blind Side’ ระหว่างพวกเขาและไมค์ให้ได้เท่า ๆ กัน
ทนาย มาร์ตี้ ซิงเกอร์ ตัวแทนของครอบครัวทูฮี ให้ข้อมูลกับสื่อว่า
“เมื่อเร็ว ๆ นี้เองที่ไมเคิลเริ่มข่มขู่ว่าจะลงมือทำอะไรกับพวกเขาสักอย่าง นอกจากว่าจะจ่ายเงินให้เขาเป็นตัวเลข 8 หลัก และไมค์ก็ปฏิเสธที่จะรับเงินส่วนแบ่งน้อยนิดจากครอบครัวทูฮี แต่กระนั้นทางสามีภรรยาทูฮีก็ยังคงฝากเงินส่วนแบ่งในจำนวนเท่า ๆ กันเข้าบัญชีทรัสต์ที่เปิดไว้เพื่อลูกชายของพวกเขา”
“ครอบครัวทูฮีจะดูแลไมค์อย่างดีที่สุดตลอดไป พวกเขาเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ และพวกเขายังหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ไมค์จะรู้สึกเสียใจภายหลังกับการตัดสินใจกระทำการไปในครั้งนี้ และหวังว่าเขาจะเลือกวิถีทางที่ต่างไปจากนี้ในอนาคต และสักวันหนึ่งระหว่างพวกเขาและไมค์จะสามารถคืนดีกันได้”
ส่วน ไมเคิล ออร์ กล่าวกับสื่อว่า “เขารู้สึกท้อแท้เหลือเกินกับการที่ต้องออกมาเปิดเรื่องราวเกี่ยวกับคดีในวันนี้”
“นี่มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำกบากมากครับสำหรับผมและครอบครัวของผม สำหรับตอนนี้ ผมจะปล่อยให้คดีฟ้องร้องมันดำเนินไปตามระเบียบพิธีการของมัน ผมขอไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ เพิ่มเติม”
ฌอน ทูฮี จูเนียร์ (Sean Tuohy Jr.) ลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวทูฮีเผยกับสื่อว่า เขาเชื่อว่าไมค์มีปัญหากับครอบครัวเขามาระยะหนึ่งแล้ว ไมค์เคยของเงินจากพ่อกับแม่มาครั้งหนึ่งเมื่อปี 2021 แต่เขาจะพยายามไม่พูดอะไรในแง่ลบต่อไมค์
“ผมพอเข้าใจนะว่าทำไมเขาถึงโกรธ ผมว่าผมเข้าใจเขานะ พอมันหลุดออกไปเป็นข่าวนี้สิมันจะฉาวโฉ่กัน ตรงนี้แหละที่มันแย่สุด แต่ก็ทำอะไรได้ล่ะ”
ทูฮี จูเนียร์ เผยต่อว่า เขาไม่เคยรู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับหนังมาก่อนเลย เขารู้แค่ว่าพ่อส่งเช็คให้เขาไม่กี่ปีหลังจากที่หนังออกฉาย เขายังไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมพ่อเลือกใช้สิทธิ์เป็นผู้พิทักษ์ดูแล แทนที่จะรับไมค์เป็นลุกบุญธรรม แต่ถ้าเดาก็คงเป็นเพราะอายุของไมค์ในตอนนั้น
“เราไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีเงินเก็บซ่อนไว้ที่ไหนเลย ไม่มีหนังสือมอบอำนาจด้วย ผมเองก็เคยต่อว่าพ่อแม่ในเรื่องนี้มาแล้ว เพราะผมต้องการมั่นใจว่าผมไม่ได้กำลังปกป้องฝ่ายที่ผิดในเรื่องนี้อยู่”
ที่มา : nbcnews