ในช่วงระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา ปี 2023 นับเป็นอีกปีที่ถือว่ายากลำบากของฮอลลีวูดไม่น้อย เพราะแม้ว่าจะมีหนังฟอร์มยักษ์ ทั้งบรรดาหนังซูเปอร์ฮีโร หนังแอ็กชัน ภาคต่อจากหนังแฟรนไชส์คลาสสิก ที่จ่อคิวเข้าฉายเรียกความสนใจได้ตลอดทั้งปี แต่ที่ผ่านมากลับกลายเป็นว่า หนังฟอร์มยักษ์เหล่านั้นกลับทำรายได้ Box Office ได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์

เว็บไซต์ Variety ได้วิเคราะห์สาเหตุที่หนังฟอร์มยักษ์ที่ฉายในรอบปีนี้ไม่สามารถทำกำไรได้ แม้จะเป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลก็ตาม โดยเฉพาะบรรดาหนังแฟรนไชส์คลาสสิกตัวเก็ง ทั้ง ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny‘ และ ‘Mission Impossible – Dead Reckoning Part One’

หากมองโดยภาพรวม ปัญหาหลักที่สำคัญของหนังภาคต่อเหล่านี้ก็คือ เป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลทั้งสิ้น โดย ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ใช้ทุนสร้าง 295 –300 ล้านเหรียญ ส่วน ‘Mission Impossible – Dead Reckoning Part One’ ใช้ทุนสร้าง 291 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังต้องบวกงบค่าใช้จ่ายสำหรับการโปรโมตและการตลาดอีกราว ๆ 100 ล้านเหรียญ ทำให้หนังทั้ง 2 เรื่อง กลายเป็นหนังราคาแพงที่ขึ้นสถิติหนังที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดตลอดกาล

Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา Courtesy of Walt Disney Pictures

แต่ด้วยภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เปลี่ยนไป ทำให้แม้ทั้ง 2 เรื่องจะเป็นหนังจากแฟรนไชส์ที่คนดูชื่นชอบมายาวนาน แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะชื่อเสียงของหนังที่ดึงดูดผู้ชมในวัยเดียวกันกับตัวหนัง ก็ทำให้ทั้ง 2 เรื่องทำรายได้อย่างไม่น่าพอใจ โดย ‘Indiana Jones 5’ ที่เข้าฉายช่วงเดือนมิถุนายน ทำรายได้ Box Office 375.1 ล้านเหรียญ ส่วน ‘Mission Impossible 7’ ที่เข้าฉายในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ทำรายได้ Box Office 523 ล้านเหรียญ ซึ่งคาดการณ์ว่าหลังจบโปรแกรมฉาย สตูดิโอเจ้าของหนังอาจต้องขาดทุนราว ๆ 100 ล้านเหรียญ

ชอว์น ร็อบบินส์ (Shawn Robbins) หัวหน้านักวิเคราะห์จากเว็บไซต์ BoxOffice Pro ได้วิเคราะห์ว่า หากไม่มีโรคระบาด หนังเหล่านี้อาจทำรายได้ได้ดีกว่านี้ เนื่องจากโรคระบาดทำให้ทุนสร้างสูงเกินกว่าปกติ แต่อย่างไรก็ตาม หนังเหล่านี้ก็จำเป็นต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และนักแสดงยังต้องแสดงไปตามบทบาท

Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One

แต่อย่างไรก็ตาม แม้หนังจะเจ๊งจากการขายตั๋ว แต่ก็ยังมีโอกาสทำรายได้ในระยะยาวจากการฉายในระบบสตรีมมิง หรือในระบบ On-Demand ตามที่ บ็อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) ซีอีโอของ Disney ได้เผยว่า ‘Indiana Jones 5’ มีส่วนทำให้ ‘Indiana Jones’ 4 ภาคก่อนหน้าที่อยู่ใน Disney+ มียอดชมสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการวางกลยุทธ์ระยะยาวแทนที่จะเล่นเกมสั้น ๆ

ในขณะที่อีก 1 หนังแฟรนไชส์ที่ใช้ทุนสร้างมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้อย่าง ‘Fast X‘ ที่แม้จะทำรายได้อยู่ที่ราว 704 ล้านเหรียญ แต่ด้วยทุนสร้างที่มหาศาสกว่า 340 ล้านเหรียญ ก็ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถคืนทุนทำกำไรได้เพียงเล็กน้อย ส่วนหนังฟอร์มยักษ์ในปีนี้ที่สามารถทำกำไรสวนกระแสได้อย่างงดงาม ได้แก่ ‘The Super Mario Bros. Movie’, ‘Guardians of the Galaxy Vol.3′ รวมทั้งหนังใหญ่ 2 เรื่องของซัมเมอร์ปีนี้ทั้ง ‘Oppenheimer’ ที่ทำรายได้ 648.12 ล้านเหรียญ และ ‘Barbie’ ที่เก็บรายได้สูงถึง 1,180 ล้านเหรียญแล้ว ณ เวลานี้


ที่มา: Variety

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส