ลิขสิทธิ์ ‘Star Wars’ ตกเป็นของดิสนีย์ หลังจาก จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ขาย ลูคัส ฟิล์ม ให้กับดิสนีย์เมื่อปี 2012 หลังจากอยู่ในมือของดิสนีย์แล้ว ทิศทางของแฟรนไชสก็ดูจะห่างไกลจากความตั้งใจเดิมของลูคัส ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือไตรภาคที่ 3 ที่ลูคัสประกาศมาตลอดว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้น นอกเหนือจากที่ดิสนีย์จะไม่สนแนวทางการดำเนินเรื่องของลูคัส แม้ว่าจะเป็นผู้ให้กำเนิดก็ตาม ดิสนีย์ยังใช้ประโยชน์จากตัวละครและเนื้อหาจากไตรภาคแรกของลูคัสอีกด้วย ดิสนีย์ยังประกาศสร้างภาพยนตร์ภาคแยกเดี่ยว ๆ อีกหลายเรื่อง และวางแผนว่าจะมีภาพยนตร์ Star Wars เรื่องใหม่ออกฉายทุกปี
หลังดำเนินแผนการดังกล่าวมาได้ 10 ปี ดิสนีย์ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ยอมกลับไปดำเนินแนวทางตามวิสัยทัศน์ของลูคัส ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ ที่ออกมาต่างก็ได้รับเสียงตอบรับจากแฟน ๆ และนักวิจารณ์ที่ปะปนกันไปทั้งชอบและไม่ชอบ จากนั้นดิสนีย์จึงตัดสินใจผ่อนคันเร่งในการสร้างภาพยนตร์ Star Wars เรื่องใหม่ ๆ ออกมา ที่ผ่านมา นับได้ว่าดิสนีย์ทำการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างกับแฟรนไชส์ Star Wars แต่ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ดิสนีย์ต้องมาประเมินกันใหม่ว่าจะเดินหน้าต่อไปกันอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของดิสนีย์ต่อแฟรนไชส์ Star Wars ก็เกิดขึ้นในปี 2019 ครั้งนี้ดิสนีย์ยอมใช้กลยุทธ์ของ จอร์จ ลูคัส ที่วางไว้ตั้งแต่ปี 2005
จอร์จ ลูคัส เชื่อเสมอมาว่าอนาคตของ Star Wars อยู่บนจอทีวี
ก่อนที่ ‘Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith’ จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ลูคัสและทีมงานของเขาวางแผนการอนาคตของ Star Wars ที่จะรุกตลาดภาพยนตร์และซีรีส์สำหรับฉายทางทีวีแล้ว ลูคัสวางแผนการทีวีซีรีส์ไว้ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ แอนิเมชัน 3 มิติ ‘Star Wars: The Clone Wars’ และทีวีซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน ‘Star Wars: Underworld’แต่ก็ติดปัญหาเรื่องงบประมาณในการสร้างจำเป็นต้องยกเลิกไป แต่ถึงอย่างนั้น The Clone Wars ก็สามารถรุดหน้าไปได้ถึง 6 ซีซันก่อนจะถูกยกเลิก ลูคัสไม่มีแผนการที่จะสร้างภาพยนตร์ Star Wars อีกแล้ว หลังจบไตรภาคที่ 2 เพราะเขาเชื่อมั่นว่า ทิศทางที่ดีที่สุดในการขยายแฟรนไชส์คือการลงจอทีวี
แม้ว่าดิสนีย์จะสร้างไตรภาคล่าสุดเอง โดยไม่สนใจแนวทางเรื่องของลูคัส แต่สุดท้ายทิศทางของเรื่องก็เป็นไปตามที่ลูคัสเคยทำนายไว้ว่า เรื่องราวของดิสนีย์ยังไงซะก็ต้องลงเอยด้วยการกลับมาของเจได ลูคัสเชื่อว่าเส้นเรื่องหลัก ๆ ของ Star Wars ก็คือช่วงเรืองอำนาจและช่วงล่มสลายของ อนาคิน สกายวอล์กเกอร์ ดั้งนั้นเมื่ออนาคินได้ทำการไถ่บาปให้กับตัวเขาเองแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสานต่อเรื่องราวในแฟรนไชส์หลักอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงแม้ลูคัสจะมีความเชื่อเช่นนั้น แต่เขาก็แอบเขียนเรื่องราวอีกหนึ่งไตรภาคไว้แล้วก่อนทึ่จะตัดสินใจขายลูคัสฟิล์มให้กับดิสนีย์ แต่เมื่อดิสนีย์เป็นเจ้าของ Star Wars แล้ว ก็ไม่สนใจเนื้อเรื่องของลูคัส แต่เลือกที่จะสานต่อตำนานในทิศทางของดิสนีย์เอง และเลือกทึ่จะทำตลาดด้วยภาพยนตร์เป็นหลัก ด้วยการสร้างภาพยนตร์ Star Wars เรื่องใหม่ในทุก ๆ ปี ซึ่งก็มีที่ประสบความสำเร็จบ้าง คว่ำบ้างปะปนกันไป
ความสำเร็จของ The Mandalorian พิสูจน์ให้เห็นว่าลูคัสพูดถูก
ไม่นานก่อนที่ ‘Star Wars: The Rise of Skywalker’ จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ดิสนีย์ก็เริ่มปล่อยทีวีซีรีส์ ‘The Mandalorian’ ซึ่งเป็นทีวีซีรีส์ Star Wars ไลฟ์แอ็กชันเรื่องแรก ซึ่งก่อนหน้านี้ ดิสนีย์ก็ปล่อยทีวีซีรีแอนิเมชันออกมาแล้ว 2 เรื่อง แต่สำหรับ ‘The Mandalorian’ นั้น คือการทดลองกลับไปหากลิ่นอายเดิม ๆ ของ Star Wars และทุ่มงบให้มากขึ้นเพื่อให้ภาพออกมายิ่งใหญ่เหมือนกับภาพยนตร์ทุนสูง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของลูคัสเอง ที่เคยวางแผนการแบบเดียวกันนี้ไว้กับทีวีซีรีส์ ‘Star Wars: Underworld’ แต่ลูคัสฟิล์มในขณะนั้นก็ไม่มีทุนสร้างพอที่จะสร้างทีวีซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันคุณภาพสูงได้ ในที่สุด ‘The Mandalorian’ ก็ออกสตาร์ทได้อย่างสวยงาม ซีรีส์ประสบความสำเร็จได้รับเสียงชื่นชมมากมาย หลายเสียงชอบในการสร้างสรรค์ตัวละครใหม่ ๆ ที่มีสีสันขึ้นมาและงานภาพที่โดดเด่น ยิ่งเป็นการพิสูจน์ชัดว่า วิสัยทัศน์ที่ลูคัสมองว่าอนาคตของ Star Wars นั้นอยู่บนจอทีวีนั้นแม่นยำจริง
เมื่อ ‘The Mandalorian’ประสบความสำเร็จ และไตรภาคที่ 3 นั้นปิดฉากลงแล้ว ดิสนีย์ก็หันมาทุ่มเทให้กับทีวีซีรีส์ Star Wars มากขึ้น ตามต่อมาด้วย ‘The Book of Boba Fett’ สานต่อตำนนานนักล่าค่าหัวที่เคยปรากฎตัวมาแล้วใน ‘The Mandalorian’ซีซัน 2 และเปลี่ยนแผนการให้ ‘Obi-Wan Kenobi’ มาเป็นทีวีซีรีส์แทน ตามมาด้วย ‘Andor’ ที่ลงลึกเรื่องราวของ Cassian Andor ก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์ ‘Rogue One: A Star Wars Story’ แล้วดิสนีย์ยังแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองด้วยการกลับมาสานต่อแอนิเมชันซีรีส์ ‘The Clone Wars’ในซีซันที่ 7 แล้วยังจะมีแอนิเมชันซีรีส์ที่เตรียมสร้างอีก 4 เรื่องในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ตอนนี้ดิสนีย์เลยรุกหนักกับการสร้างทีวีซีรีส์ Star Wars ซึ่งจะมีเรื่องใหม่ ๆ ทยอยออกมาซึ่งดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด
Disney ก็ยอมใช้กลยุทธ์ของ จอร์จ ลูคัส ในการสร้างภาพยนตร์ด้วย
แต่สำหรับแฟน ๆ ภาพยนตร์ Star Wars ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะดิสนีย์ยังไม่ทิ้งแผนการสร้างภาพยนตร์เลยเสียทีเดียว ภาพยนตร์ Star Wars เรื่องใหม่จะออกมาในปี 2026 ซึ่งจากนี้ไปก็ต้องคอยตามพิสูจน์กันว่า ดิสนีย์และลูคัสฟิล์มได้นำบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีตมาปรับแก้กลยุทธ์แล้วได้ผลหรือไม่ เพราะผลงานภาพรวมของดิสนีย์นั้นไม่ค่อยน่าพึงพอใจนัก ไตรภาคล่าสุดก็ได้รับเสียงตอบรับทั้งชอบและไม่ชอบ แต่ที่เจ็บหนักที่สุดก็คือ ‘Solo: A Star Wars Story’ ที่ล้มเหลวทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์
กลยุทธ์ของดิสนีย์จากนี้ไปก็คือการเลือกสร้างภาพยนตร์ Star Wars แบบสแตนด์อะโลน หรือภาพยนตร์เรื่องเดี่ยวที่ไม่สานต่อเป็นไตรภาค และจะเว้นช่วงแต่ละเรื่องเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งลูคัสเองก็เคยวางแผนการไว้เช่นนี้ว่าจะเลือกสร้างภาพยนตร์แบบสแตนด์อะโลน ดิสนีย์มีแผนการจะสร้างภาพยนตร์ ‘The Mandalorian’อีกด้วย โดยให้เนื้อหาเชื่อมโยงกับทีวีซีรีส์ ซึ่งก็เหมือนกลยุทธ์ของลูคัสที่เชื่อมโยงเนื้อหาในภาพยนตร์ ‘The Clone Wars’เข้ากับแอนิเมชันซีรีส์ และเมื่อดิสนีย์ดำเนินตามกลยุทธ์นี้ ลูคัสฟิล์มก็จะมีเวลา 2 ปีในการสร้างภาพยนตร์ใหม่แต่ละเรื่องให้มีคุณภาพมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ จอร์จ ลูคัส บิดาผู้ให้กำเนิด Satr Wars ได้วางไว้ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ก่อนจะขายให้กับดิสนีย์
ที่มา : screenrant