Netflix เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนสมาชิก 238 ล้านราย โดยมี Amazon Prime ตามมาในอันดับที่ 2 ที่มีจำนวนสมาชิก 200 ล้านราย แต่ Netflix ก็พยายามหนีห่างและเพิ่มจำนวนสมาชิกด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ และสิ่งที่เป็นจุดแข็งที่สุดของ Netflix ก็คือการทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์และทีวีซีรีส์ขึ้นเอง และได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ชม นับเป็นการยกระดับที่เด่นชัดจากเดิมที่เป็นเพียงผู้ให้บริการสตรีมมิงมาเป็นสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์และทีวีซีรีส์ของตัวเอง และหลาย ๆ เรื่องก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ ไม่เพียงแค่นั้นผลงานของ Netflix ยังสามารถขยับไปคว้ารางวัลออสการ์มาแล้วด้วย

Netflix ให้ความสำคัญในการสร้างภาพยนตร์ของตัวเองอย่างมาก เป้าหมายหลัก ๆ ก็คือการรักษาฐานสมาชิกและขยายจำนวนสมาชิก เพราะเล็งเห็นว่าเทรนด์การเสพสื่อบันเทิงของผู้คนทั่วโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูหนังที่บ้านมากขึ้น จากเดิมที่เคยต้องออกไปชมภาพยนตร์ในโรง ด้วยเหตุนี้ Netflix จึงทุ่มทุนอย่างมากกับการสร้างภาพยนตร์และทีวีซีรีส์ภายใต้ชื่อ Netflix Original ในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 6 ปี Netflix ได้สร้างภาพยนตร์และทีวีซีรีส์ของตัวเองออกมาแล้วกว่า 1,500 เรื่อง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนในแต่ละปีมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่คือ 10 อันดับภาพยนตร์บน Netflix ที่มีผู้ชมทั่วโลกมากที่สุด ตามบันทึกล่าสุดในช่วง 28 วันที่ผ่านมา

อันดับ 10 : Hustle


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 198,310,000 ชั่วโมง

‘Hustle’ เป็นหนังในยุคที่ อดัม แซนด์เลอร์ (Adam Sandler) เบนเข็มมาเล่นหนังดราม่าหนัก ๆ เรื่องนี้เขารับบทเป็น สแตนลีย์ ซูการ์แมน แมวมองใน NBA ในวันที่สถานะการงานของเขาอยู่ในช่วงยากลำบาก แต่แล้วเขาก็มีความหวังเมื่อได้พบกับ โบโน ครูซ รับบทโดย ฆวนโฆ่ เอร์นานโกเมซ (Juancho Hernangomez) นักกีฬาเบสบอลตัวจริง แต่ครูซก็มีเรื่องราวปูมหลังที่ซับซ้อนพอควร และเคยก่อคดีทำร้ายร่างกายรุนแรง

นับเป็นอีกครั้งที่แซนด์เลอร์ได้แสดงฝีมือทางด้านการแสดงว่าเขาสามารถรับบทดราม่าหนัก ๆ ได้ ‘Hustle’ ส่งให้ อดัม แซนด์เลอร์ ได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมในหลาย ๆ เวที รวมไปถึง Screen Actors Guild Award อีกด้วย หนังยังมี ควีน ลาติฟาห์ (Queen Latifah) มารับบทเป็น เทเรซา ภรรยาของสแตนลีย์อีกด้วย และได้ เลอบรอน เจมส์ ซูเปอร์สตาร์ NBA ตัวจริงมานั่งตำแหน่งอำนวยการสร้าง


อันดับ 9 : The Unforgivable


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 219,550,000 ชั่วโมง

ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของ แซนดรา บุลล็อก (Sandra Bullock) บน Netflix หลังจากมี ‘Bird Box’ออกมาเมื่อปี 2018 ซึ่งก็เป็นที่ฮือฮามากในวันที่ออกสตรีมมิง แต่ก็หลุดผัง 10 อันดับแรกไปแล้ว ‘The Unforgivable’ ออกมาเมื่อปี 2021 และเน้นขายชื่อ แซนดรา บุลล็อก อย่างจริงจัง ด้วยการลงภาพใบหน้าเธอแบบเต็ม ๆ บนโปสเตอร์ และสื่อจริงจังว่านี่คือหนังดราม่าหนัก ๆ เรื่องหนึ่ง

บุลล็อกรับบทเป็น รูธ สเลเตอร์ หญิงสาวที่โดนโชคชะตาเล่นตลก เมื่อเธอต้องโทษจำคุกยาวนานถึง 20 ปี ด้วยข้อหาสังหารนายอำเภอที่พยายามขับไล่เธอและน้องสาววัย 5 ขวบ ออกจากที่พัก เมื่อรูธพ้นโทษออกมาเธอพยายามกลับมาใช้ชีวิตในสังคมเมือง และต้องการสานสัมพันธ์กับน้องสาวอีกครั้ง แต่เมื่อผู้คนในสังคมรู้อดีตของเธอต่างก็ปฏิเสธที่จะยอมรับในตัวเธอ โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ความจริงในวันเกิดเหตุเลยว่าทำไมนายอำเภอจึงเสียชีวิต หนังยังมี วิโอลา เดวิส, วินเซนต์ ดีโอโนฟริโอ และ จอห์น เบิร์นธัล ร่วมแสดง


อันดับ 8 : Purple Hearts


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 240,480,000 ชั่วโมง

‘Purple Hearts’ สตรีมมิงเมื่อปี 2022 เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวในรายชื่อ Top 10 นี้ ที่ไม่มีนักแสดงชื่อดัง รวมไปถึงผู้กำกับและเขียนบทก็ไม่ใช่ชื่อที่เป็นจุดขายได้เลย เป็นหนังที่สื่อถึงความเป็นหนังรักโรแมนติคชัดเจนตั้งแต่โปสเตอร์หนัง โซเฟีย คาร์สัน (Sofia Carson) รับบทเป็น แคสซี่ และ นิโคลัส กาลิตซีน (Nicholas Galitzine) รับบทเป็น ลุค ทั้งสองต่างเป็นคู่รักที่มีความรักให้กันอย่างลึกซึ้ง แคสซี่เป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์แต่ก็มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ส่วนลุคเป็นนาวิกโยธิน เขาเข้ารับราชการทหารตามที่พ่อคาดหวังไว้ เมื่อทั้งคู่คบหากันแล้วลุคได้รับรู้ถึงปัญหาสุขภาพของแคสซี่ เขาจึงตัดสินใจแต่งงานกับเธอทันที เพื่อที่เธอจะได้สิทธิ์ในฐานะภรรยาของทหาร และสามารถใช้สิทธิ์การรักษาพยาบาลของทหารได้

ชีวิตของทั้งคู่ดูจะราบรื่นดีเป็นไปตามแผนการที่ลุคคาดหวัง แต่แล้วเมื่อลุคได้รับบาดเจ็บในสนามรบ แล้วเขาต้องนั่งรถเข็น สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อแคสซี่ต้องดูแลลุคในช่วงเขาต้องพักรักษาตัว ยิ่งชีวิตคู่ของพวกเขขาดำเนินไปมากเท่าใด ก็ยิ่งยากที่จะบอกได้ว่าความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นเป็นความรักจริงหรือไม่


อันดับ 7 : The Mother


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 243,060,000 ชั่วโมง

‘The Mother’ ออกสตรีมมิงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี่เอง หนังขายชื่อ เจนนิเฟอร์ โลเปซ (Jennifer Lopez) ในบทนำ ได้ นิกิ คาโร (Niki Caro) จาก ‘Mulan’ มากำกับ และ ปีเตอร์ เครก (Peter Craig) มือเขียนบทจาก The Batman, Bad Boys For Life และ Top Gun : Maverick มารับหน้าที่เขียนบท นับว่ามีองค์ประกอบของหนังฮิตครบถ้วน

โลเปซ รับบทเป็น The Mother ตัวละครหลักของเรื่อง เธอเป็นอดีตนักฆ่ามือฉมัง แต่เมื่อให้กำเนิดลูกสาว ทำให้เธอตระหนักได้ดีว่าด้วยอาชีพของเธอแล้วไม่เหมาะสมกับการเป็นแม่คน ทางเดียวที่เธอจะให้ลูกมีชีวิตรอดปลอดภัยคือต้องส่งมอบลูกให้อยู่กับครอบครัวบุญธรรม เพื่อให้ห่างจากบรรดาศัตรูของเธอ แต่เมื่อศัตรูของเธอสืบรู้ตัวตนของลูกสาวเธอ และลักพาตัวสาวน้อยไปได้สำเร็จ ผู้เป็นแม่จึงออกจากมุมมืดมาปกป้องลูกสาว เปิดฉากให้หนังสามารถอัดฉากแอ็กชันได้ต่อเนื่องถูกใจผู้ชมสายบู๊ และโลเปซก็พิสูจน์ให้เห็นกันชัด ๆ ว่า ในวัย 52 ปี เธอยังเล่นหนังแอ็กชันได้สบาย ๆ


อันดับ 6 : Extraction 2


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 254,900,000 ชั่วโมง

‘Extraction 2’ นับว่าเป็นหนังใหม่สุดใน Top 10 นี้ หนังออกสตรีมมิงเมื่อเดือนมิถุนายนนี้เอง เป็นหนังภาคต่อจาก ‘Extraction’ เมื่อปี 2020 แม้ว่าตัวละคร ไทเลอร์ เรค ของ คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) จะเสียชีวิตไปแล้วในตอนท้ายของหนังภาคแรก แต่เมื่อหนังฮิตเกินคาด ทีมจึงต้องเขียนบทให้เขารอดชีวิตกลับมาพะบู๊ได้อีกครั้งในภาคต่อนี้

หนังเป็นผลงานอำนวยการสร้างของ แอนโธนี และ โจ รุสโซ (Anthony and Joe Russo) และได้ แซม ฮาร์เกรฟ (Sam Hargrave) อดีตสตันท์แมนที่หันมาเอาดีเป็นผู้กำกับกลับมารับหน้าที่เดิม ในภาคนี้ เรคได้รับมอบหมายภารกิจอันตรายครั้งใหม่ เมื่อเขาถูกส่งตัวไปช่วยเหลือน้องสะใภ้ของเขาเอง ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าพ่อใหญ่ออกมาจากคุกที่มีการคุมเข้มสูงสุดในจอร์เจีย หนังได้ทุนสร้างมากขึ้น และทีมงานเริ่มรู้แล้วว่าผู้ชมชอบอะไรในหนังภาคแรก ภาคนี้เลยจัดฉากบู๊มาให้ระห่ำกว่าภาคแรกหลายเท่า โดยมีจุดขายคือฉากลองเทคที่ยาวนานกว่า 20 นาที และฉากแอ็กชันใหญ่ ๆ ทั้งเรื่อง แทบไม่มีช่วงให้พักหายใจ


อันดับ 5 : The Adam Project


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 260,520,000 ชั่วโมง

‘The Adam Project’ ภาพยนตร์ปี 2022 ที่ได้ ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds) มารับบทนำเป็น อดัมวัยผู้ใหญ่ และได้ วอล์กเกอร์ สโคเบลล์ (Walker Scobell) มารับบทเป็น อดัมในวัยเด็ก มาร์ก รัฟฟาโล (Mark Ruffalo) มารับบทเป็น ลุยส์ รีด พ่อของอดัม มี เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และ โซอี ซัลดาญา รับบทสมทบ ได้ ชอว์น เลวี (Shawn Levy) ที่เคยกำกับเรย์โนลด์มาแล้วใน ‘Free Guy’ ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง

หนังมาในไอเดียแปลกใหม่ แม้จะเป็พล็อตเรื่องการเดินทางข้ามเวลา แต่รอบนี้อดัม ตัวเอกของเรื่องที่เป็นนักบินปฏิบัติการข้ามเวลาจะต้องเดินทางจากปี 2050 เพื่อย้อนอดีตมาร่วมมือกับตัวของเขาเองในวัยเด็กในปี 2022 แล้วทั้งคู่ยังต้องเดินทางย้อนเวลาไปปี 2018 เพื่อไปพบพ่อเขาในวันที่ยังมีชีวิตอยู่ หนังผสมผสานเรื่องราวไซไฟ, แอ็กชัน และเรื่องราวดราม่าภายในครอบครัวได้อย่างลงตัว และแน่นอนว่าหนังต้องมีความคอมเมดี้ให้ได้หัวเราะกันตามสไตล์หนังที่มีเรย์โนลด์ในบทนำ


อันดับ 4 : The Gray Man


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 265,980,000 ชั่วโมง

‘The Gray Man’ เป็นอีกเรื่องที่เป็นผลงานอำนวยการสร้างและกำกับของคู่พี่น้อง แอนโธนี และ โจ รุสโซ (Anthony and Joe Russo) ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกัน ‘The Gray Man’ ของ มาร์ก กรีนีย์ (Mark Greaney) ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2009 และเป็นเล่มแรกในซีรีส์ ‘Gray Man’ ที่ออกมาแล้วถึง 12 เล่ม

หนังได้ 2 ซูเปอร์สตาร์ ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) และ คริส อีแวนส์ (Chris Evans) มารับบทนำ กอสลิง รับบทเป็น SIX อดีตนักโทษที่โดนจำคุกในข้อหาสังหารพ่อของตัวเองที่ชอบทารุณกรรม เขาได้รับข้อเสนอจาก CIA ให้รับหน้าที่เป็นมือสังหารของ Sierra project องค์กรลับของ CIA เพื่อแลกกับอิสรภาพ SIX ได้รับมอบหมายภารกิจใหม่ให้ไปสะกดรอยเป้าหมาย แต่กลับกลายเป็นว่า SIX ได้ไปล่วงรู้ความลับขององค์กร ทำให้เขาถูกตามล่าจาก ลอยด์ แฮนเซน มือสังหารโรคจิต รับบทโดย คริส อีแวนส์ กลายเป็นฉากตามล่าสุดระทึกของสองมือสังหารระดับพระกาฬ เป็นอีกโปรเจกต์ที่ Netflix มั่นใจมาก ถึงกับทุ่มทุนสร้างให้กว่า 200 ล้านเหรียญ


อันดับ 3 : Glass Onion: A Knives Out Mystery


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 301,730,000 ชั่วโมง

‘Knives Out’ ภาคแรกเป็นภาพยนตร์รวมดาราเชตใหญ่ปี 2019 ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเป็นการรับบทนำของ แดเนียล เครก (Daniel Craig) ที่ขอสลัดภาพลักษณ์ของ เจมส์ บอนด์ ออกไปชั่วคราว หนังเป็นผลงานเขียนบทและกำกับของ ไรอัน จอห์นสัน (Rian Johnson) จาก ‘Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi’เมื่อปี 2017

ผู้ชมไม่แปลกใจที่ได้เห็น ‘Knives Out’จะมีภาคต่อออกมา แต่ที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ ‘Glass Onion: A Knives Out Mystery’ หนังภาคต่อเรื่องนี้ ไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์เหมือนอย่างภาคแรก แต่กลับมาสตรีมมิงทาง Netflix แทน หนังยังคงเดินตามรอยความสำเร็จภาคแรก ได้เครกกลับมารับบทเป็น เบอร์นัวต์ บลอง นักสืบมากฝีมือชื่อดัง ที่รอบนี้เขาได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในแขกคนสำคัญของ ไมลส์ บรอน มหาเศรษฐีที่เชิญเพื่อนสนิทมิตรสหายมาร่วมงานปาร์ตี้บนเกาะส่วนตัว แต่แล้วก็มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น บลองจึงต้องรับหน้าที่นักสืบอีกครั้งเพื่อตามหาตัวฆาตกร หนังได้นักแสดงระดับแถวหน้ามาร่วมงานมากมายทั้ง เดฟ เบาทิสตา, เคต ฮัดสัน, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, อีธาน ฮอว์ก และ ฮิว แกรนต์


อันดับ 2 : Don’t Look Up


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 389,580,000 ชั่วโมง

เล็งเห็นได้ชัดเลยว่า การที่ Netflix ยอมทุ่นทุนในการจ้างนักแสดงระดับแถวหน้าค่าตัวแพงของฮอลลีวูดมาลงในหนังก็มักจะประสบความสำเร็จ อย่างเช่น ‘Don’t Look Up’ ก็เป็นอีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด หนังอัดแน่นไปด้วยนักแสดงชื่อดังมากมาย เริ่มตั้งแต่่ ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ (Leonardo DiCaprio), เจนนิเฟอร์ ลอว์เรซ์ (Jennifer Lawrence), เมอรีล สตรีป (Meryl Streep),เคต บลันเชตต์ (Cate Blanchett) และ โจนาห์ ฮิลล์ (Jonah Hill) ได้ อดัม แม็กเคย์ (Adam Mckay) ผู้กำกับและมือเขียนบทที่หนังในแนวทางหนังคอมเมดี้อย่าง The Other Guys และ Step Brothers มารับหน้าที่

หนังมาในแนวคอมเมดี้เสียดสี เรื่องราวของ 2 นักดาราศาสตร์ที่พบว่าโลกกำลังจะพบจุดจบ เมื่อพบว่าดาวหางดวงใหญ่กำลังจะพุ่งชนโลก แต่ดูเหมือนผู้คนจะไม่สนใจใยดีกับมหาภัยพิบัติครั้งนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีที่กำลังสนใจแต่การเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งคู่จึงต้องเดินสายออกสื่อใหญ่ ๆ เพื่อเตือนผู้คนถึงภัยพิบัติที่กำลังมาถึง แม้หนังจะถูกจำกัดไว้ในแนวคอมเมดี้ แต่ก็ไม่ใช่หนังที่อัดแน่นไปด้วยมุกตลกที่เรียกเสียงหัวเราได้แรง ๆ แต่เป็นมุกตลกร้ายแบบเสียดสีเสียมากกว่า


อันดับ 1 : Red Notice


มีผู้รับชมไปแล้วกว่า 453,990,000 ชั่วโมง

‘Red Notice’ ภาพยนตร์ปี 2021 เป็นอีกหนึ่งหนังฟอร์มใหญ่ของ Netflix ที่เน้นขายชื่อนักแสดงนำค่าตัวแพง ที่รอบนี้ขายชื่อถึง 3 คน กัล กาด็อต (Gal Gadot), ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne “The Rock” Johnson) และเป็นอีกเรื่องที่ ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds)ร่วมงานกับ Netflix อีกแล้ว ได้ รอว์สัน มาร์แชล เธอเบอร์ (Rawson Marshall Thurber) ที่เคยร่วมงานกับ ดเวย์น จอห์นสัน มาแล้ว จาก ‘Skyscraper’เมื่อปี 2018 มาควบหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับ

“Red Notice” ในเรื่องนี้เป็นชื่อ ปฏิบัติการระดับสูงสุดที่อนุมัติโดยตำรวจสากล มอบหมายให้ จอห์น ฮาร์ทลีย์ เจ้าหน้าที่ FBI ที่รับบทโดยจอห์นสันเป็นผู้นำปฏิบัติการ ตามล่า “เดอะ บิชอป” ฉายาของจอมโจรสาวที่ขโมยผลงานศิลปะล้ำค่าไปแล้วทั่วโลก บทของ กัล กาด็อต งานนี้ฮาร์ทลีย์จึงต้องจับพลัดจับผลูมาร่วมมือกับ โนแลน บูธ บทของเรย์โนลด์ เพื่อร่วมมือกันตามล่าตัว เดอะ บิชอป หนังใช้ทุนสร้างไปมหาศาลถึง 200 ล้านเหรียญ และไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์เลย ได้คะแนนบน rottentomatoes ไปที่ 37% แต่ตรงกันข้ามกับทางฝั่งคนดูที่เทคะแนนให้สูงถึง 92% จึงไม่แปลกที่ ‘Red Notice’ จะครองอันดับ 1 ในรายชื่อ Top 10 นี้

ที่มา : cbr