‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ที่ออกมาร่วมในทัพหนังซัมเมอร์ปี 2023 นี้ เป็นภาคที่แฟน ๆ รอคอยมายาวนาน เหตุเพราะว่ากองถ่ายต้องหยุดชะงักหลายครั้งในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ทำให้ภาคนี้เว้นช่วงห่างจาก ‘Mission: Impossible—Fallout’ นานถึง 5 ปี จึงไม่แปลกที่หนังได้การต้อนรับอย่างดีจากแฟน ๆ และบรรดานักวิจารณ์ที่เทคะแนนให้อย่างท่วมท้นจนได้คะแนนบน rottentomatoes ไปสูงถึง 96% และ CinemaScore ที่ A
แต่ถ้าพิจารณาอีกด้านหนึ่ง ‘Dead Reckoning Part One’ ก็เป็นภาคที่ใช้ต้นทุนการสร้างไปสูงที่สุดในแฟรนไชส์ ด้วยตัวเลข 290 ล้านเหรียญ นั่นทำให้สตูดิโอยิ่งควาดหวังว่าหนังควรจะทำตัวเลขรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศที่สูงพอที่หนังจะมองเห็นกำไร แต่แล้วหนังก็ทำรายได้ในสุดสัปดาห์เปิดตัวไปที่ 54 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าภาคก่อนหน้า ‘Fallout’ ที่เปิดตัวได้สูงถึง 61 ล้านเหรียญเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่พาราเมาท์ รวมไปถึง ทอม ครูซ (Tom Cruise) และผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ แม็กควารี (Christopher Mcquarrie) คาดหวังไว้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ มีคำอธิบายง่าย ๆ จากผู้เชี่ยวชาญว่าทำไม ‘Dead Reckoning Part One’ไม่ประสบความสำเร็จในระดับที่ภาคอื่น ๆ ก่อนหน้านี้เคยทำได้ ซึ่งมีวิธีแก้ไขง่าย ๆ เลยในเรื่องนี้ นั่นก็คือย้ายวันฉายจากเดือนกรกฎาคมไปเป็นเดือนสิงหาคม หนังจะทำรายได้ได้สูงกว่านี้อีกมาก
เปรียบเทียบรายรับกับภาคอื่น ๆ ก่อนหน้า
คริสโตเฟอร์ แม็กควารี และ ทอม ครูซ ทุ่มเทเวลาหลายปีไปกับ ‘Dead Reckoning Part One’ เพื่อให้ออกมาเป็นภาคที่มีความทะเยอทะยานที่สุด ภาคนี้จึงอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชันที่น่าตื่นตาและฉากเสี่ยงตายที่ครูซแสดงเองเช่นเคย นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ภาคนี้ใช้ทุนสร้างสูงกว่าที่เคย นับจนถึงวันนี้ที่หนังเข้าฉายทั่วโลกมาแล้วกว่า 1 เดือน ตัวเลขก็ยังไปได้แค่ 551 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าหนังไปไม่ถึงจุดคุ้มทุนที่ 600 ล้านเหรียญ นั่นจะทำให้พาราเมาท์ขาดทุนไปประมาณ 100 ล้านเหรียญ นับถึงวันนี้ก็ประเมินได้แล้วว่า ‘ไม่น่าจะถึง’
- ‘Mission: Impossible – Fallout’ เมื่อปี 2018 หนังทำรายได้ไปที่ 791.7 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 178 ล้านเหรียญ
- ‘Rogue Nation’ เมื่อปี 2015 หนังทำรายได้ไปที่ 682.7 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่ 150 ล้านเหรียญ
- ‘Ghost Protocol’ เมื่อปี 2011 หนังทำรายได้ไปที่ 694.7 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่ 145 ล้านเหรียญ
- ‘Mission: Impossible II’ เมื่อปี 2000 หนังทำรายได้ไปที่ 546.4 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่ 125 ล้านเหรียญ
ทั้งแฟรนไชส์ ‘Mission: Impossible’ มีเพียง ‘Mission: Impossible’ ภาคแรกและ ‘Mission: Impossible III’ ที่ทำรายได้น้อยกว่า ‘Dead Reckoning Part One’แต่ทั้งสองเรื่องก็ยังสามารถทำกำไรให้สตูดิโอได้เป็นกอบเป็นกำเพราะว่าใช้ทุนสร้างไปแค่ 80 ล้านเหรียญ และ 150 ล้านเหรียญ ตามลำดับ
อีกกรณีที่คล้ายกันและเกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์เดียวกันนี้ก็คือ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ซึ่งใช้ทุนสร้างไปสูงราว 300 ล้านเหรียญ ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้สตูดิโอขาดทุนไปนับ 100 ล้านเหรียญ แม้ทางทีมสร้างของ ‘Dead Reckoning Part One’และ ‘The Dial of Destiny’จะอ้างว่า ทุนสร้างที่สูงเกินไปนั้นเป็นเพราะปัญหาการถ่ายทำในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด แต่ปัญหาดังกล่าวนี้ก็เป็นข้อยืนยันได้ว่า การที่สตูดิโอเทงบให้กับโปรเจกต์ใด ๆ ที่สูงเกิน 300 ล้านเหรียญ กับหนังเพียงเรื่องเดียวนั้น นั้นสูงเกินไปและเสี่ยงจนเกินไป
ซัมเมอร์ปี 2023 เป็นซัมเมอร์แห่ง ‘Barbenheimer’
เห็นผลกันแล้วชัดเจนว่า ‘Barbie’ และ ‘Oppenheimer’ ครองตลาดโรงภาพยนตร์ในช่วงซัมเมอร์นี้ไปแล้วอย่างสมบูรณ์ หนังออกฉายตามหลัง ‘Dead Reckoning Part One’ เพียงแค่ 9 วันเท่านั้น แล้วผู้คนก็แห่กันไปเข้าโรงภาพยนตร์เพื่อต้อนรับปรากฎการณ์ ‘Barbenheimer’ แต่ตัวเลขของ ‘Dead Reckoning Part One’ก็ยังพอขยับให้เห็นอยู่บ้างในช่วงนี้ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีผู้ชมบางกลุ่มที่ยอมฝ่ากลุ่มผู้ชมสีชมพูไปดู ‘Dead Reckoning Part One’
แต่สุดท้ายแล้ว รายได้ของ ‘Barbie’ ก็พุ่งไม่หยุด จนทำรายได้ทะลุ 1,300 ล้านเหรียญ ครองตำแหน่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดของปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วน ‘Oppenheimer’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) แม้หนังจะมีความยาวกว่า 3 ชั่วโมง และใช้ทุนสร้างไปที่ 180 ล้านเหรียญ ก็ยังทำรายได้ไปถึง 777 ล้านเหรียญ
หลายคนคาดการณ์กันไว้ล่วงหน้าแล้วถึงปรากฎการณ์ ‘Barbenheimer’ นี้ว่า หนังทั้งสองเรื่องจะสามารถเรียกผู้ชมให้ออกมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ได้สำเร็จ เห็นจะมีแต่ทีมผู้บริหารพาราเมาท์สตูดิโอเจ้าของหนัง ‘Dead Reckoning Part One’เท่านั้นล่ะ ที่ประเมินความนิยมต่อกระแส ‘Barbenheimer’ ต่ำเกินไป และไม่สนไม่แคร์คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญให้เลื่อนวันฉายของ ‘Dead Reckoning Part One’ ออกไปก่อน
บรูซ มาร์โค (Bruce Markoe) หัวหน้าทีม post-production ของ IMAX เล่าให้ Forbes ฟังว่า ทาง IMAX ก็ได้แนะนำให้พาราเมาท์เลื่อนวันฉาย ‘Dead Reckoning Part One’ ออกไปก่อนจะดีกว่า เพื่อจะได้มีเวลาฉายบนโรง IMAX ได้นานขึ้น เพราะกำหนดเดิมนี้จะได้วันฉายเพียงแค่ 9 วันเท่านั้น เพราะทาง IMAX จำเป็นต้องให้รอบฉายกับ ‘Oppenheimer’เป็นเวลา 3 สัปดาห์
“การวางกำหนดวันฉายของหนังเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาที่เจอกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์นี้ค่อนข้างแออัดเลยล่ะ ทางเราเองก็อยากจะให้รอบฉายกับทั้งสองเรื่องให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะ ‘Mission: Impossible’ เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากเมื่อฉายในระบบ IMAX แต่ทางพาราเมาท์ก็มาจองวันฉายทีหลัง ‘Oppenheimer’ ทางเราก็แนะนำให้เลื่อนวันฉายออกไป เพราะอย่างน้อยก็ได้วันฉายมากขึ้นทั้งในโรงธรรมดาและ IMAX แต่ก็ไม่ได้ผล มันไม่ใช่เรื่องที่ทางเราจะตัดสินใจได้ แต่เป็นการตัดสินใจของทางสตูดิโอ แต่บางทีก็มีนะ ที่ทางสตูดิโอมาปรึกษาเรา พวกเขาย้ายวันฉายไปมาจนได้วันฉายที่เหมาะที่สุด แต่บางสตูดิโอก็ยืนกรานว่า ไม่ เราจะเอาวันนี้เท่านั้น เราไม่สน แบบนี้ก็มี”
และพาราเมาท์ก็เป็นอย่างในกรณีหลังนี้ ไม่ย้าย ไม่สน
เดือนสิงหาคม ไร้คู่แข่งเบอร์ใหญ่ ๆ
แต่สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจไม่เลื่อนฉาย ‘Dead Reckoning Part One’ ก็ส่งผลให้พาราเมาท์ต้องขาดทุนไปเป็นร้อยล้านเหรียญ อย่างที่มาร์โคเอ่ยถึงไว้ ตารางการฉายภาพยนตร์ในช่วงทำเงินอย่างซัมเมอร์นี้ ค่อนข้างแน่นเอี้ยด แต่ถ้าขยับไปแค่เดือนเดียวเป็นสิงหาคมนั้นจะว่างกว่ามาก ซึ่งก็เหมาะกับหนังฟอร์มยักษ์อย่าง ‘Dead Reckoning Part One’ ที่จะไปลงฉายในช่วงนั้น
เห็นได้ชัดกับเหตุการณ์ที่เกิดในวันนี้ เมื่อ ‘Barbie’และ ‘Oppenheimer’ ยังสามารถครองบ็อกซ์ออฟฟิศในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ได้อยู่ก็เพราะไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ ๆ แต่ถ้าพาเราเมาท์เลื่อน ‘Dead Reckoning Part One’ มาลงฉายในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ ก็สามารถดึงความสนใจผู้ชมไปจาก ‘Barbenheimer’ ได้ และแน่นอนกลุ่มคนดูที่ดู ‘Barbie’และ ‘Oppenheimer’ กันไปแล้ว ก็ย่อมตื่นเต้นที่จะได้ดูหนังฟอร์มใหญ่อีกเรื่องที่ได้รับเสียงชื่นชมดีที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์
ถ้า ‘Dead Reckoning Part One’เข้าฉายในเดือนสิงหาคมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญแล้วละก็ คู่แข่งที่จะเจอก็จะมีอย่างเช่น ‘Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem’ และ ‘Gran Turismo’ ซึ่งก็เป็นหนังฟอร์มเล็กกว่า ไม่ใช่คู่แข่งที่น่าเกรงขามที่จะสามารถช่วงชิงความสนใจผู้ชมไปได้มากเลย
ที่มา : movieweb wikipedia rottentomatoes boxofficemojo thenumbers