Joan เป็นวงดูโออินดี้ป๊อปจากสหรัฐอเมริกา ที่ประกอบไปด้วย 2 สมาชิก คือ อลัน โทมัส (Alan Thomas) และ สตีเวน รัทเธอร์ฟอร์ด (Steven Rutherford) เจ้าของบทเพลงฮิตที่มีทั้งความโรแมนติก ท่วงทำนองติดหู และมีกลิ่นอายโหยหาอดีต ชวนให้หลงรักตั้งแต่แรกฟัง อาทิ “i loved you first” “love somebody like you” “drive all night” “love me better” “so good” และอีกมากมาย

Joan ได้เคยมาแสดงคอนเสิร์ตในไทยมาแล้ว 2 ครั้งในงาน Very Festival ในปี 2021 และ 2022 ซึ่งได้สร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ ชาวไทยและได้รับเสียงชื่นชมว่าเปี่ยมล้นด้วยบรรยากาศอันน่าหลงใหล มาปีนี้ถือเป็นข่าวดีของแฟน ๆ เพราะ Joan จะมาแสดงที่บ้านเราอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นในรูปแบบของคอนเสิร์ตเดี่ยวแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกในไทย ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 13 ก.ย.นี้

เป็นโอกาสดีของแฟน ๆ แล้วที่จะได้ไปสัมผัสท่วงทำนองของ 2 หนุ่ม Joan แบบสด ๆ ฟินกันแบบเต็มที่ แต่ก่อนที่จะไปพบกับพวกเขาในครั้งนี้ เรามีบทสนทนาดี ๆ ที่เราได้พูดคุยกับทั้ง 2 หนุ่ม Joan มาฝาก พูดคุยตั้งแต่เรื่องราวการทำงานเพลงอัลบั้มชุดแรก ‘Superglue’ มิตรภาพของทั้งคู่ที่มีในการทำงานเพลงร่วมกัน ไปจนถึงความตื่นเต้นกับคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้

เป็นข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ชาวไทยที่ Joan กำลังจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวในไทยครั้งแรก พวกคุณรู้สึกอย่างไรบ้างสำหรับโชว์ในครั้งนี้

อลัน : เราตื่นเต้นมาก ๆ เลยครับ ผมหมายความว่าที่ผ่านมาในการเป็นวงดนตรีของเราทั้งหมดจนถึงตอนนี้ เราได้มีโอกาสแสดงคอนเสิร์ตในเทศกาลดนตรีตามที่ต่าง ๆ และเราก็ได้มีทัวร์ในอเมริกา 2-3 ครั้งในปีนี้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันกับเวลาที่คุณได้วางแผนการแสดงทั้งหมดด้วยตัวคุณเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สนุกและเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เราจะได้เล่นคอนเสิร์ตให้กับคนที่ตั้งใจจะมาดูโชว์ของพวกเรา บอกเลยว่าตื่นเต้นสุด ๆ เลยครับ

สตีเวน : ใช่เลยครับ ตื่นเต้นมาก

แล้วคุณจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์แฟน ๆ ชาวไทยรึเปล่า

อลัน : โอ้ เซอร์ไพรส์หรอครับ บอกเลยว่าเราจะเซอร์ไพรส์คุณด้วยโชว์ที่ดีสุด ๆ ไปเลย

สตีเว่น : แน่นอนครับ ที่ผ่านมาเรามีแต่โชว์ของเราในเฟสติวัลเท่านั้น และครั้งนี้มันจะเป็นเซอร์ไพรส์ด้วยตัวมันเองเลยครับกับการแสดงแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกของเราในไทย

นอกเหนือจากมาเล่นคอนเสิร์ตแล้ว คุณมีแผนจะทำอะไรที่เมืองไทยบ้าง

สตีเวน : ครั้งล่าสุดที่เรามาไทย เราเจอร้านกาแฟร้านหนึ่ง บอกเลยว่ามันเป็นกาแฟที่ดีที่สุดที่เราเคยดื่มมาเลย แน่นอนว่ากลับมาคราวนี้เราจะไปซ้ำมันอีกครั้งแน่นอน กาแฟดี ๆ อาหารดี ๆ นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการเลยครับ

อยากรู้ว่าคุณเริ่มต้นทำวงด้วยกันอย่างไร

อลัน : สตีเวนกับผมเราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเราได้รู้จักกันผ่านสายสัมพันธ์ที่เรามี เราก็เลยได้เจอกัน ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง จากนั้นเราทั้งคู่ก็เลยมาเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว พอเขาเรียนจบ และผมก็ทำดนตรีเต็มเวลา เราก็เพิ่งได้มีเวลาร่วมกันและคุยกันว่าเราน่าจะมาลองเขียนเพลงด้วยกันและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนใหญ่ตอนนั้นเราเขียนเพลงสำหรับประกอบภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ส่วนซิงเกิลแรกที่เราเขียนด้วยกันเลยก็คือ “Take Me On” ตอนนั้นเราทั้งคู่ต่างก็มองหน้ากัน และก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญนับจากนี้ไป ดังนั้นเราจึงไม่หยุดทำเพลงเลยตั้งแต่วันนั้นซึ่งก็คือราว ๆ เดือนสิงหาคมหรือกันยายนของปี 2016 และเราก็เลยทำเพลงด้วยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในแง่ของการเป็นคู่หูทางดนตรี พวกคุณให้กำลังใจและสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างไร

สตีเวน : ว้าว ! ผมชอบคำถามนี้จังเลยครับ ผมคิดว่าเราทำได้ดีมากในสิ่งที่เราชอบ ในสิ่งที่เราแต่ละคนเป็น และในสถานการณ์ทั่วไปที่เราเขียนเพลงด้วยกัน อลันจะเป็นคนที่ไหลลื่นไปตามธรรมชาติ เขาเป็นคนที่เก่งเป็นบ้าเลย อย่างการคิดฮุกที่โดน ๆ หรือการหาไอเดียตั้งต้นเขาเก่งเรื่องนั้นจริง ๆ รวมถึงเรื่องโปรดักชันด้วย ผมว่าเขานี่เป็นโปรดิวเซอร์ตัวท็อปคนนึงเลยล่ะครับ

อลัน : โอ้ ไม่เอาน่าเพื่อน (ยิ้ม)

สตีเวน : เฮ้ ๆ (เขิน) หลาย ๆ ครั้งเราจะเริ่มต้นด้วยไอเดีย จากนั้นเราก็จะมีส่วนร่วมด้วยกันในการผลิต ผมก็จะทำในส่วนของเนื้อเพลงและเราก็จะมาทำเมโลดี้ด้วยกัน และหลายครั้งมันก็เหมือนกับว่าเรารู้ว่าเราชอบอะไรและอะไรเป็นจุดแข็งของเรา เราก็ทำแบบนั้นกันต่อไป และในขณะเดียวกันเราก็พยายามที่จะเติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน และผมคิดว่าเราไม่เคยก้าวก่ายการทำงานของกันและกัน ผมว่านี่ล่ะมันคือสิ่งที่ดี ที่เป็นวิธีที่เราส่งเสริมและสนับสนุนกันและกันครับ

อลัน : เห็นด้วยอย่างยิ่งเลย

สตีเวน : เยี่ยมเลยเพื่อน

งานดนตรีของ Joan จะมีกลิ่นอายของยุค 90’s และ 2000’s อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณหลงใหลและเป็นแรงบันดาลใจให้คุณทำดนตรีในสไตล์นี้

อลัน : อืม นี่ก็เป็นคำถามที่ดีเลยครับ ผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกโหยหาอดีต เหมือนกับเป็นความทรงจำแรก ๆ ของผมในช่วงเวลาที่ผมเริ่มสนใจดนตรีแบบจริงจัง มันเป็นช่วงปลายยุค 90’s ถึงต้นยุค 2000’s ตอนนั้นผมจำได้ว่าเคยฟัง “Tears In Heaven” ของ เอริก แคลปตัน (Eric Clapton) หรือ “The Boys of Summer” ของ ดอน เฮนลีย์ (Don Henley) ซึ่งผมชอบและมันโดนใจผมมาก ๆ เลย แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมากและไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะรู้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ มันมีความหมายกับตัวผมยังไง มันเหมือนกับสิ่งนี้ได้ปรับแต่งสมองของผม  ปรับแต่งรสนิยมของผม และพอผมสามารถซื้อเครื่องเล่นซีดีได้ ซื้อแผ่นซีดีจากร้านมาฟังได้ ผมจำได้ว่าผมซื้ออัลบั้มแรกของ *NSYNC มาฟัง และเพลงป๊อปในยุคนั้นมันทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ ชัดเจนและหนักแน่น และมันเหมือนกับเป็นครั้งแรกที่ผมจำได้ว่าฟังเพลงแล้วเกิดความรู้สึกว่า ว้าวเสียงกลองนี่มันสุดยอดเลยว่ะ ทำไมมันฟังดูเจ๋งจัง และจากนั้นผมก็สนใจมันอย่างจริงจังและกลายเป็นส่วนหนึ่งของผมตั้งแต่นั้นมา มันได้หล่อหลอมหูของผม แม้ตอนนี้เหมือนมีศิลปินมากมายที่ทำเพลงที่มีกลิ่นอายย้อนกลับไปในยุคอดีต อย่าง The Weeknd ใน 2 อัลบั้มล่าสุดของเขาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเลย ที่มีความเป็น Synth Wave หรือซาวด์เรโทรยุค 80s แต่มันไม่ได้ฟังดูเป็น 80s ในน้ำเสียงของเขา มันเหมือนกับซาวด์ดนตรีของเขาก็อย่างนึง เสียงของเขาก็อย่างนึง แล้วมันก็มาผสานกัน ส่วนผมเองก็ไม่คิดว่าเสียงร้องของผมจะเป็นแบบยุค 80’s และก็ไม่คิดว่าจะต้องร้องเหมือนศิลปินยุคนั้นอย่าง ไบรอัน อดัมส์ (Bryan Adams) อะไรแบบนี้ แต่มันก็สนุกดีที่เราอาจจะได้ลองอะไรแบบนั้นในบางครั้ง และดูว่าเราชอบเสียงของ Joan ตรงจุดไหน และมันจะเข้ากับเสียงของ Joan ได้ยังไง

ในที่สุดตอนนี้พวกคุณก็มีอัลบั้มเดบิวต์แล้ว พวกคุณรู้สึกยังไงบ้าง

สตีเวน : เราทำได้แล้ว ! ในที่สุดเครื่องบินที่ชื่อว่า ‘อัลบั้ม’ ของเราก็ได้ลงจอดสักที มันรู้สึกดีจริง ๆ ผมกับอลันจะพูดกันตลอดเวลา ว่าเพลงในอัลบั้มนี้เป็นกลุ่มเพลงที่ถูกสร้างสรรค์มาสำหรับอัลบั้มเดบิวต์นี้จริง ๆ และเราไม่สามารถหาทางเลือกที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว ในฐานะอัลบั้มเปิดตัว ‘Superglue’ ให้ความรู้สึกที่สมบูรณ์แบบสำหรับช่วงเวลาที่เราเขียนมันขึ้นมา เรารู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบแล้วตอนนี้ และเราก็หวังว่ามันจะเป็นผลงานที่ไร้กาลเวลา แบบเปิดฟังใน 10 ปีข้างหน้ามันก็ยังฟังดีอยู่ พวกเราภูมิใจสุด ๆ มีความสุขสุด ๆ ‘Super Proud’ ‘Super Happy’ เลยครับ

แนวคิดและขั้นตอนการทำงานของอัลบั้มนี้เป็นยังไงบ้าง

อลัน : ตอนนั้นเหมือนเรามีเพลงบางเพลงอยู่ในใจ น่าจะเป็นช่วงปลายปี 2021 ถึงต้นปี 2022 และพอเราหยุดพักจากการทัวร์ เราก็แบบว่าเราอยากจะทำหัวให้โล่ง ๆ และทำงานนี้จริง ๆ จัง ๆ จากนั้นเราก็ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนได้ เราใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่และถ้าจะมีโชว์ เราก็รับแค่ 2-3 งานเท่านั้น เหมือนกับว่าจุดประสงค์ของเราในช่วง 6 เดือนนี้คือการทำอัลบั้มให้เสร็จ ในห้องสตูดิโอของผม จะมีแผ่นกระจกและเราจะตีตารางเลยว่าแต่ละเพลงเราทำไปถึงขั้นไหนแล้ว อัดกลองรึยัง เสียงร้อง เนื้อเพลง และพาร์ตต่าง ๆ จากนั้นเราก็ติ๊กไปที่มันทีละช่อง ๆ  มันเหมือนกับการทำงานทุกวัน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เราทำเป็นกิจวัตรเหมือนงานประจำกันเลย  ซึ่งมันทั้งเหนื่อยและก็ยอดเยี่ยมในเวลาเดียวกันครับ

การได้ร่วมงานกับ Zack Tabudlo’ และ ‘NOA’ ในอีก 2 เวอร์ชันของเพลง “superglue” นั้นเป็นยังไงบ้าง

สตีเวน : ตอนนั้นหลังจากที่เราออกอัลบั้ม ‘Superglue’ กันไป เราก็คิดขึ้นมาว่ามีใครที่เราอยากร่วมงานด้วยไหม ซึ่ง ‘Zack Tabudlo’ และ ‘NOA’ ต่างก็เป็น 2 คนแรกที่เราคิดที่จะร่วมงานด้วย และเราเป็นแฟนของพวกเขามาได้สักพักแล้ว พอได้มาทำงานร่วมกันเราเชื่อมโยงกันได้อย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ามันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติจริง ๆ และง่ายต่อการทำอะไรกับพวกเขาทั้งคู่ ผมดีใจมากครับ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีและ สนุกมากที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา

คุณมีอะไรอยากบอกกับแฟน ๆ ชาวไทยก่อนที่จะมาเจอกันในวันที่ 13 กันยายนนี้ไหม

Joan : ใช่ เรารักประเทศไทย เรารักแฟน ๆ ของเรา เราพูดแบบนี้ทุกครั้งและไม่เคยเลยที่จะมีความหมายลดน้อยลงไป เรามาจากรัฐเล็ก ๆ ในอเมริกา และมันน่าทึ่งว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วเราเพิ่งเริ่มต้นกันเอง ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะมีแฟน ๆ อยู่ที่ไหนบ้าง ดังนั้นการที่เราได้บินข้ามโลกและได้มาเล่นในโชว์ของเราเอง และผู้คนก็มาปรากฏตัวและร้องเพลงของเราไปพร้อมกันกับเรานั้นพิเศษจริง ๆ ดังนั้นเรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ สำหรับประสบการณ์ที่ดีเหล่านี้ และเราตื่นเต้นมากที่จะได้กลับมาครับ แล้วพบกันครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส