‘Busted’ (บัสเตด) เป็นวงดนตรีป๊อปพังก์จากอังกฤษจากเซาเทนด์ออนซี (Southend-on-Sea) เอสเซ็กซ์ (Essex) ประกอบด้วยเจมส์ บอร์น (James Bourne – กีตาร์,ร้อง) , แมตต์ วิลลิส (Matt Willis – เบส,ร้อง) และชาร์ลี ซิมป์สัน (Charlie Simpson – กีตาร์,ร้อง) วงนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 มีซิงเกิลอันดับ 1 ของสหราชอาณาจักร 4 เพลง ได้รับรางวัล Brit Awards 2 รางวัล ออกสตูดิโออัลบั้ม 4 อัลบั้ม และขายได้มากกว่า 5 ล้านแผ่นทั่วโลก วงออกอัลบั้มเดบิวต์ Busted ในปี 2002 และ A Present for Everyone ในปี 2003 ก่อนที่จะยุบวงในเดือนมกราคม 2005 หลังจากการแยกทางกัน สมาชิกทั้ง 3 มีเส้นทางดนตรีที่แยกกันไป ซิมป์สันไปเป็นนักร้องนำของวงแนวโพสต์ฮาร์ดคอร์ชื่อว่า Fightstar บอร์นเป็นนักร้องนำของวงป๊อปพังก์ Son of Dork และวิลลิสเป็นศิลปินเดี่ยว ต่อมาทั้ง 3 ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในปี 2015 โดยเริ่มทัวร์อารีน่า Pigs Can Fly ในเดือนพฤษภาคม 2016 และออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 Night Driver ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2016 ต่อมาวันที่ 26 ตุลาคม 2018 Busted ได้ประกาศอัลบั้มที่ 4 ของพวกเขา Half Way There ซึ่งวางจำหน่าย ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 รวมถึงการทัวร์อารีน่าในสหราชอาณาจักร ในช่วงปลายปี 2019 วงได้หยุดทำโปรเจกต์เดี่ยว และในปี 2023 Busted ได้ประกาศการกลับมาในวันครบรอบ 20 ปี ซึ่งประกอบด้วยอัลบั้ม ‘Greatest Hits 2.0’ และการทัวร์ที่กำลังจะมาถึง
เป็นโอกาสดีที่ Beartai Buzz ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Busted ถึงผลงานอัลบั้ม ‘Greatest Hits 2.0’ ที่จะปล่อยมาในวันที่ 15 กันยายนนี้ รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะทำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกับพวกเขาดียิ่งขึ้นกับวงดนตรีวงนี้ที่ไม่ยอมแตกสลายไปกับการเวลา และยังกลับมาทำงานเพลงกันต่อให้แฟน ๆ ได้ฟังกันอีกด้วย และไม่แน่ปีหน้าแฟน ๆ ชาวไทยก็อาจได้มีโอกาสดูพวกเขาแสดงสดอีกด้วย
พวกคุณกำลังจะปล่อยอัลบั้ม ‘Greatest Hits’ ในวันที่ 15 กันยายนนี้แล้ว อะไรคือแรงบันดาลใจและแนวคิดเบื้องหลังการนำเพลงฮิตในยุค 2000s มาสู่เวอร์ชัน 2.0 ในปีนี้
แมตต์ : เราวางแผนไว้ว่าจะฉลองครบรอบ 20 ปีในแบบที่ยิ่งใหญ่หน่อย เราก็เลยคิดว่าเราจะทำอย่างไรกับมันดี เพราะความคิดที่จะปล่อยเพลงเก่าเฉย ๆ มันคงฟังดูไม่น่าดึงดูดสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นเราเลยมีความคิดที่จะบันทึกเสียงเพลงเก่าทั้งหมดอีกครั้ง และหาเพื่อน ๆ ที่เป็นแฟนเพลงของวงเรา และเราก็เป็นแฟนเพลงของพวกเขาด้วย ให้มาร่วมงานกันเพื่อเป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับอัลบั้มนี้ และมันน่าทึ่งมาก มันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งจริง ๆ เราดีใจมากที่ในที่สุดผู้คนก็จะได้ฟังมันแล้ว
ทำไมพวกคุณถึงเลือก “Loser Kid” ให้เป็นเพลงแรกในโปรเจกต์นี้
แมตต์ : เหตุผลที่เราเลือก “Loser Kid” มาเป็นเพลงแรกในโปรเจกต์นี้ เพราะผมรักเพลงนี้ มันเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของผมเลย บอกเลยว่าผมรักเพลงนี้จริง ๆ ซึ่งผมตั้งใจจะปล่อยมันออกมาเป็นซิงเกิลตั้งแต่ตอนนั้น แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ ก็เลยจับมันมาใส่ไว้ในอัลบั้ม เพราะมันถึงเวลาที่จะต้องปล่อยอัลบั้มออกมาแล้ว มันเป็นเพลงที่ผู้คนจะเชื่อมโยงกับมันได้ เป็นเพลงที่บอกเราว่าจริง ๆ แล้วเราทุกคนคงไม่ต่างกัน เราอยากจะได้รับความสนใจ ได้รับความรักอะไรแบบนี้ และเราชอบเวอร์ชันที่เราทำใหม่นี้มาก มันเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ พวกเราชอบมันมากเลยครับ
อยากรู้ว่าการทำงานกับศิลปินหลาย ๆ คนในอัลบั้ม ‘Greatest Hits 2.0’ เป็นอย่างไรบ้าง คุณมีวิธีการเลือกศิลปินมาทำงานร่วมกันยังไง และพวกเขาว่ายังไงบ้างเมื่อคุณเชิญพวกเขาให้มาร่วมงานด้วย
ชาร์ลี : ผมสามารถโชว์ให้คุณเห็นสิ่งที่พวกเขาพูดได้เลยนะ ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นเพียงข้อความ เพราะเราส่งข้อความหาพวกเขา แล้วเราก็พูดว่า ‘เฮ้ เพื่อน นายสนใจมาอยู่ในอัลบั้มของพวกเราเราไหมล่ะ’ พวกเขาแทบจะพูดเหมือนกันเลยว่ามันฟังดูเจ๋งมาก
แมตต์ : คุณรู้ไหมเรามีรายชื่อทีมในฝันที่เราต้องการ และเกือบทุกคนในนั้นก็ตอบตกลงกับเรา ซึ่งมีแค่ 2-3 รายเท่านั้นที่ไม่ได้ตอบกลับมา เพราะมีผู้จัดการทีมขวางทางไว้ หรืออะไรทำนองนั้นแหละ แต่ส่วนใหญ่ประมาณ 95% ของคนที่เราติดต่อตอบตกลงกับเราหมดเลย
ชาร์ลี : แล้วจากนั้นเราก็มาเลือกเพลงกันมาจะทำเพลงอะไร จะใส่เพลงอะไรลงไปในอัลบั้มบ้าง บางคนก็ชอบเพลงนั้น บางคนก็บอกว่าฉันอยากทำเพลงนี้ แล้วศิลปินอีกคนก็บอกมาว่าฉันอยากได้เพลงนั้นด้วย
แมตต์ : คุณรู้ไหม มันเป็นช่วงเวลาที่แปลกจริง ๆ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ทุกคนทำงานได้ดีมาก
ชาร์ลี : มันเจ๋งจริง ๆ คุณจะได้ฟัง ‘Greatest Hits 2.0’ วันที่ 15 กันยายนนี้แล้วกับเพลงของเราที่ทำร่วมกับพวกเขาในแบบที่คุณไม่เคยได้ฟังมาก่อน อย่างบางเพลงพวกเขาก็ใส่อะไรที่มันฮา ๆ ลงไปในแบบที่ไม่มีในต้นฉบับแน่นอน ซึ่งนี่แหละมันคือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุด มันเยี่ยมมากเลยจริง ๆ
เจมส์ : ใช่เลยครับ มันเจ๋งจริง ๆ
ประสบการณ์ตอนที่ Busted ร่วมงานกับศิลปินคนอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง พวกเขามีส่วนสนับสนุนงานของคุณอย่างไร และคุณได้เรียนรู้อะไรจากการร่วมงานกับพวกเขาบ้าง
ชาร์ลี : สิ่งที่เจ๋งเลยก็คือตอนแรกเราส่งเพลงออกไปให้พวกเขาพร้อมกับไกด์ว่าพวกเขาควรร้องแบบไหน ทำแบบไหน แต่แล้วในตอนท้ายเราก็บอกกับพวกเขาว่าคุณจะทำอะไรก็ได้อย่างที่คุณต้องการ ถ้าคุณอยากจะเพิ่มอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เพิ่มมาได้เลย แล้วเราก็ได้สิ่งที่ต้องการในแบบที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจเพราะบางเพลงได้เพิ่มอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไปที่ผมคิดว่าเจ๋งกว่าต้นฉบับด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเขาเพิ่มเติมลงไปมันพิเศษจริง ๆ เช่นเสียงร้อง backing vocals ที่ทำให้ตอนจบของเพลงมันโดนมาก ๆ ผมรู้สึกดีใจที่เราอนุญาตให้พวกเขาได้สร้างสรรค์และทำในสิ่งที่เป็นพวกเขา เพราะผมต้องการให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของมันด้วยเช่นกัน
หลังจากช่วงที่พวกคุณพักวงไป อะไรคือแรงผลักดันเบื้องหลังการตัดสินใจกลับมาพบกันอีกครั้งในปี 2016 รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้รวมกลุ่มกันใหม่ แสดงคอนเสิร์ต และร่วมงานกันในโปรเจ็ต์ใหม่อีกครั้ง
ชาร์ลี : ปี 2016 ช่วงเวลานั้นมันเป็นเวลาที่เหมาะสม ตอนนั้นแมตต์กับเจมส์เพิ่งทำอะไรบางอย่างกับ McFly (เป็นโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘McBusted’) และมันทำให้เราอยากทำอะไรที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากสิ่งที่เราเคยทำ เดิมทีเรารู้สึกว่าเราค่อนข้างห่างกันไปพอสมควร แต่ตอนนี้มันผ่านไปกว่า 5 ปีแล้วตั้งแต่เรากลับมาเล่นด้วยกัน และตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นการพบกันใหม่ด้วยความตั้งใจของพวกเราเองที่เจ๋งมาก ๆ มันเป็นการกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งในช่วงเวลาที่เหมาะสม ตอนนั้นผมไม่คิดเลยว่าการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งจะเกิดขึ้นในปี 2016 แต่พอได้พิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็พบว่ามันเป็นเรื่องดี และมันเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว แถมยังตรงกับวันครบรอบ 20 ปีของวงเราอย่างพอเหมาะพอเจาะ ใช่ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีจริง ๆ
พวกคุณรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับแฟน ๆ ของคุณได้อย่างไร และพวกเขามีบทบาทอย่างไรต่อเส้นทางอาชีพของพวกคุณ
แมตต์ : ความจริงที่ว่าเรายังมีแฟน ๆ จำนวนมากมันน่าทึ่งมาก เรามีคอนเสิร์ตถึง 11 โชว์ และตั๋วขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่ช่วงพรีเซลส์ทั้ง 11 โชว์เลย เราทึ่งกับมันมากจนเราต้องเพิ่มรอบเพิ่มโชว์ไปเรื่อย ๆ และมันก็เจ๋งมากเลย ผมคิดว่ามันเป็นเพราะความคิดถึง และความคิดถึงนั้นมีพลังจริง ๆ มันสามารถพาคุณย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาและสถานที่ในชีวิตของคุณ ที่คุณได้รับความรู้สึกและความทรงจำต่าง ๆ และมันก็เหมือนกับว่าเราพร้อมแล้ว ที่จะยอมรับมันอย่างสุดใจ แล้วก้าวไปข้างหน้า มันคือการก้าวไปข้างหน้าสำหรับเรา และนี่คือช่วงเวลาที่เรากำลังเฉลิมฉลองอย่างแท้จริงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จากนั้นเราจะก้าวไปข้างหน้า และเราก็จะได้เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป นั่นล่ะคือสิ่งที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ สำหรับเราแล้ว ตอนนี้เราพร้อมที่จะทำในสิ่งใหม่ ๆ ขับเคลื่อนวงไปข้างหน้าและขับเคลื่อนดนตรีของพวกเรา มันสวยงามมากที่ได้ก้าวไปข้างหน้ากับเพื่อน ๆ อีกครั้ง
เนื้อเพลงของคุณเข้าถึงคนฟังได้ดี ใช้การเล่าเรื่องที่มีจินตนาการและมีอารมณ์ขันที่ละเอียดอ่อน อย่างใน เพลง “Year 3000″ พวกคุณช่วยเล่าเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีคิดในการแต่งเพลงของคุณหน่อยได้ไหม
เจมส์ : เวลาเราแต่งเพลงในทุก ๆ วัน เราเหมือนกับคิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา และก็เขียนเล่ามันไป ผมคิดว่าผู้คนจะสามารถเชื่อมโยงกับอะไรที่มันไม่หนักเกินไป แล้วเราก็เขียนอะไรที่มันเติมความลึกลงไปนิดหน่อย แรก ๆ ก็เหมือนกับการหาอะไรสนุก ๆ สบาย ๆ แล้วเราก็รู้ว่ามันตลกดี และแรงบันดาลใจมากมายก็มาจากหนังที่เราชอบดู เป็นเหมือนเรื่องราวที่เราประทับใจ ทั้ง ๆ ที่มันก็ตลกดี เราทำเพลงจากสิ่งที่เรารู้จัก เก็บเรื่องราวตลก ๆ ที่เราเคยสัมผัสเมื่อเรายังเด็ก และให้แต่ละเพลงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันจึงมีเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง มีกลิ่นอายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง ผมคิดว่าว่านั่นเป็นสิ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับเพลงของเรา
แล้วอย่างเพลง “Loser Kid” ที่เราเพิ่งพูดถึงกันไปล่ะ คุณมีวิธีแต่งเพลงนี้กันยังไง
แมตต์ : ผมชอบเพลงนี้มาโดยตลอดเลยครับ ผมคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นเพลงที่มีพลังที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ และมันเหมาะที่จะเป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้มแรกของเราจริง ๆ จนมาถึงตอนนี้ผมก็ยังชอบมันอยู่ มันเป็นเพลงโปรดของผมสำหรับการเอาไปเล่นสดเลยครับ ผมชอบไลน์เบสของมันมาก ๆ ผมชอบเล่นมันมาก ผมชอบมาก ๆ เวลาที่เห็นพวกเด็กผู้ชายมาร้องเพลงนี้กัน เรื่องราวของเพลงสามารถเชื่อมโยงกับคนฟังได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรือเรื่องราวใด ๆ ในชีวิตของคุณ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ผมคิดว่าเราทุกคนต่างเคยรู้สึกเหมือนเป็นเด็กขี้แพ้อยู่เสมอ รู้สึกว่าเราแปลก รู้สึกว่าเราแตกต่างกับคนอื่น ๆ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ผมดีใจจริง ๆ ที่ผมแตกต่างและผมเป็นผม ใช่มันอาจจะแปลก อาจจะแตกต่าง อาจจะประหลาด แต่เพราะความประหลาดนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้คุณยิ่งใหญ่ ใช่แล้วนี่แหละคือการที่คุณอยากจะเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีเลยล่ะ
ความรู้สึกภายในของพวกคุณในวันนี้เปรียบเทียบกับ Busted เมื่อ 20 ปีที่แล้วมันต่างกันไหม
แมตต์ : แตกต่างนะ มันแตกต่างในทุก ๆ อย่างเลย เพราะเราอายุมากขึ้น เรารู้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่เรากำลังทำในอุตสาหกรรมดนตรี เรารู้สึกว่าเราควบคุมมันได้มากขึ้น ทำให้มันดีขึ้นมาก แต่เราก็รู้สึกว่าประสบการณ์การขึ้นเวทีของพวกเราจริง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เรายังคงรู้สึกกังวล กังวลว่าอยากให้มันยอดเยี่ยม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย แต่มีสิ่งอื่น ๆ มากมายที่เปลี่ยนแปลง อย่างการที่ผู้คนไม่ชอบซื้อซีดีอีกต่อไป มันแย่มากเลยล่ะครับ
ถ้าคุณสามารถคุยกับ Busted ในอดีตได้ คุณอยากบอกอะไรกับพวกเขา
แมตต์ : ผมคงจะบอกกับตัวเองว่า ‘เพื่อนสักวันหนึ่งนายจะไว้หนวดไว้เคราได้นะ’ ซึ่งผมไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้เลย (หัวเราะ)
ชาร์ลี : ส่วนผมก็อาจจะบอกว่า ‘แค่สนุกกับมันนะเพื่อน’ แค่สนุกกับช่วงเวลาในชีวิต
เจมส์ : ‘สนุกกับช่วงเวลาในชีวิต’ (ร้องเป็นเพลง)
แมตต์ : สำหรับผมแล้วมันคือการที่คุณจะกังวลน้อยลงเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดกับคุณ เมื่อคุณคิดได้แบบนี้แล้ว คุณก็แค่ทำในสิ่งที่คุณรัก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้เมื่อเราเติบโตขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราต้องใช้เวลาในชีวิตเพื่อเข้าใจมัน
ตอนนี้ Busted มีแผนสำหรับอัลบั้มใหม่ไหม
แมตต์ : แน่นอน มันอยู่ในใจของเราเสมอ เราอยากจะทำเพลงใหม่มาก ๆ นั่นคือสิ่งที่เราจะทำอย่างแน่นอน มันคือการก้าวไปข้างหน้า นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีและสมเหตุสมผลที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เรากำลังจะปิดบทที่ผ่านมาและเราจะก้าวไปข้างหน้าสู่บทใหม่ และผมคิดว่าอัลบั้มต่อไปจะต้องเป็นแบบนั้นจริง ๆ มันจะเป็นช่วงเวลาที่สนุกจริง ๆ เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่มันก่อตัวขึ้น
คุณอยากฝากข้อความอะไรถึงแฟน ๆ ชาวไทยบ้าง และจะมีคอนเสิร์ตของ Busted ในไทยไหมนะ
ชาร์ลี : เรารักประเทศไทยครับ จริง ๆ แล้วผมชอบมาเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศไทยนะ ผมเคยมาพักผ่อนและได้เล่นที่ร้านร้านนึง และมันก็เยี่ยมมาก ทั้งบรรยากาศ เสียงดนตรี อะไรมันดีไปหมดเลย ผมจึงตื่นเต้นมากที่ได้มาที่นี่ และบางทีเราอาจมาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่ในปีหน้านะ
เจมส์ : เราเคยได้ยินเพลงของเราถูกคัฟเวอร์โดยคนอินเดีย ตอนที่เรามาพักผ่อนที่นั่น พวกเขาเล่นเพลง “Night Driver” กันในร้านอาหารแถว ๆ ที่พักเรา มันเจ๋งไปเลยครับ
แมตต์ : ใช่แล้วครับ เรามีแผนที่จะมาประเทศไทย เราชอบที่นั่นมาก ผมเคยไปที่กรุงเทพ ฯ มันน่าทึ่งมากจริง ๆ พูดตามตรงตอนนั้นผมเฟลนิดหน่อยที่มีแค่ผมและภรรยาที่ได้มาด้วยกัน ส่วนลูก ๆ ของผมไม่ได้มาด้วย แต่มันก็เป็นวันหยุดที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยครับ ตอนนั้นผมได้ไปยิมมวยไทยชื่อ ‘ไทเกอร์มวยไทย’ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ มันเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อที่สุด และผมชอบมันมากเลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส