ถ้าพูดถึงตัวร้ายใน Star Wars ที่น่าจดจำ แน่นอนว่าตัวร้ายในใจของใครหลายคน คงเป็นดาร์ธ เวเดอร์, ดาร์ธ มอล หรือ ไคโล เรน ซึ่งเป็นเหล่าผู้ใช้พลังด้านมืด ที่มีรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขาม พร้อมด้วยฉากต่อสู้อันน่าจดจำ แต่สำหรับแฟน Star Wars เดนตายแล้ว อีกหนึ่งชื่อที่หลายคนมักจะนึกถึงเลยก็คือ ‘จอมพลธรอว์น’ เอเลียนตัวสีฟ้า ตาสีแดง ที่เราเพิ่งได้เห็นเวอร์ชันคนแสดงครั้งแรกกันในซีรีส์ Ahsoka กันนั่นเอง ว่าแต่ทำไมจอมพลธรอว์น ถึงได้เป็นตัวละครที่แฟน ๆ รัก ทั้งที่เพิ่งโผล่มาไม่นานกันนะ
การปรากฏตัวครั้งแรกของจอมพลธรอว์นต้องย้อนกลับไปในช่วงยุค 90’s ซึ่งในเวลานั้นชื่อเสียงของ Star Wars แทบจะหายไปจากสื่อบันเทิง นั่นเพราะว่าหลังจากจบภาค Return of the Jedi ในปี 1983 คนก็แทบจะไม่พูดถึงแฟรนไชส์นี้กันเท่าไหร่
ทว่าในช่วงเวลานั้นนักเขียนอย่าง ทิโมธิ ซาห์น (Timothy Zahn) ก็มีไอเดียในการต่อยอดเรื่องราวของมหากาพย์ Star Wars เขาจึงได้ลงมือเขียนนวนิยายที่เป็นภาคต่อของ ‘Return of the Jedi’ โดยตรงอย่าง ‘Heir to the Empire’ ขึ้นมาในปี 1991
นิยาย ‘Heir to the Empire’ เป็นหนังสือที่เปิดตัวจอมพลธรอว์น เป็นตัวร้ายหลัก ซึ่งความพิเศษมันอยู่ตรงนี้ เพราะซาห์น เลือกที่จะให้คนอ่านได้รู้จักธรอว์นมากกว่าการเป็นแค่ตัวร้าย ซาห์นได้เพิ่มบทของธรอว์นไปตลอดทั้งเรื่องราวของ ‘Heir to the Empire’ จนบทเทียบเท่ากลุ่มตัวเอก (ให้นึกถึง Avengers: Infinity War ที่แม้จะเป็นหนังรวมพลของเหล่าฮีโร แต่ธานอสก็ยังมีบทตลอดเรื่อง) จนใคร ๆ ต่างก็กล่าวขานว่านี่คือภาคต่อ ที่เหมาะสมสำหรับ Star Wars อย่างแท้จริง
ความโดดเด่นของจอมพลธรอว์น ไม่ใช่พลังกาย หรือคอสตูมสุดเท่เหมือนเหล่าตัวร้ายอื่น ๆ ที่ Star Wars เคยมีมา แต่ความพิเศษของเขาคือ ‘มันสมอง’ ที่เก่งกาจ เพราะเขาเป็นนักวางแผนตัวฉกาจของจักรวรรดิ ที่เหล่ากบฏยังต้องเกรงกลัวเมื่อได้ยินชื่อของเขา
‘Heir to the Empire’ ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนคลับ Star Wars จนมีภาคต่อตามออกมาอย่าง ‘Dark Force Rising’ (1992) และ ‘The Last Command’ (1993) ซึ่งนวนิยายทั้ง 3 เล่มนี้ถูกแฟน ๆ เรียกว่า ไตรภาคธรอว์นในที่สุด ซึ่งไตรภาคธรอว์นก็ได้รับความนิยมจากแฟน ๆ อย่างล้นหลาม มันผลักดันให้จอมพลธรอว์นกลายเป็นหนึ่งในตัวร้ายที่โดดเด่นที่สุดในจักรวาล Star Wars อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งก่อนหน้าที่ Disney จะซื้อ Lucasfilm ไป ไตรภาคธรอว์นนี่แหละคือภาค 7-8-9 ที่แฟน ๆ Star Wars ให้การยอมรับ
ในตอนที่ Disney ซื้อ Lucasfilm ในปี 2012 พวกเขาก็ประกาศว่าเนื้อหาที่เกี่ยวกับจักรวาลขยายของ Star ทั้งหมดจะไม่ใช่เนื้อหาหลักอีกต่อไป นั่นหมายความว่าเนื้อหาจากไตรภาคธรอว์น (ที่เคยเป็นภาค 7-8-9 ฉบับดั้งเดิม) จะถูกโละทิ้งตามไปด้วย และตัวละครจากจักรวาลขยาย จะไม่ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของ Star Wars อีกต่อไป ซึ่งสิ่งนี้สร้างความเศร้าเสียใจให้แฟน Star Wars บางส่วนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Lucasfilm อย่างเดฟ ฟิโลนี (Dave Filoni) ชายผู้ถือเป็นลูกศิษย์สายตรงของ จอร์จ ลูคัส (George Lucas) นั้นก็ไม่ได้ใจร้ายกับแฟน ๆ ซะทีเดียว เพราะหลังจากเขาปั้น Clone Wars จนประสบความสำเร็จ ในเวลานั้นเขาก็กลับมาพร้อมกับโปรเจกต์แอนิเมชัน Star Wars Rebels ซึ่งฟิโลนีก็ได้ทำให้ฝันของแฟน ๆ Star Wars เป็นจริง เพราะเขาได้นำจอมพลธรอว์น เข้ามาในจักรวาลหลักเป็นครั้งแรก โดยเปิดตัวในฐานะ ร้ายหลักของ Star Wars Rebels ซึ่งนั่นก็ทำให้ความนิยมของธรอว์นกลับมาอีกครั้ง
การปรากฏตัวของจอมพลธรอว์น ใน ‘Star Wars Rebels’ ประสบความสำเร็จอย่างมาก มันแสดงให้เห็นว่าฟิโลนีไม่เพียงจะเข้าใจหัวอกแฟนคลับ แต่เขายังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องราวของจอมพลธรอว์น ฟิโลนีสร้างจอมพลธรอว์นให้เป็นตัวละครที่อันตรายที่สุด ถึงขนาดที่ว่า เหล่าตัวเอกแทบจะหนาวเมื่อได้ยินชื่อของเขา จอมพลธรอว์นแข็งแกร่งชนิดที่ว่า ถ้าหากเขาไม่ถูกจัดการในตอนสุดท้าย กลุ่มกบฏก็อาจไม่ชนะในภาค ‘Return of the Jedi’ เลยก็ได้
ในปี 2023 เดฟ ฟิโลนีมีโอกาสได้ปั้นซีรีส์ Star Wars ของเขาเอง และเขาก็ไม่พลาด ที่จะนำจอมพลธรอว์นกลับมาอีกครั้งในซีรีส์ Ahsoka ซึ่งนำแสดงโดย ลาร์ส มิกเกลสัน (Lars Mikkelsen) ผู้พากย์เสียงจอมพลธรอว์นใน Star Wars Rebels โดยในวาระนี้ถือเป็นความพิเศษของแฟน Star Wars อย่างยิ่ง เพราะเป็นเวลาถึง 30 ปี กว่าที่เราจะได้เห็นจอมพลธรอว์น ตัวเป็น ๆ ในแบบคนแสดง
การกลับมาของจอมพลธรอว์น แสดงให้เห็นว่าฟิโลนีทุ่มเทเพื่อแฟรนไชส์นี้แค่ไหน เขามุ่งมั่นที่จะนำวายร้ายที่ดีที่สุดกลับมาในรูปแบบคนแสดง และยิ่งประกอบกับการที่มีข่าวลือว่าหนัง Star Wars ของฟิโลนีจะถูกสร้างมาจาก ‘Heir to the Empire’ แล้ว มันก็เป็นไปได้ว่าอนาคตของจอมพลธรอว์นจะต้องผูกติดกับแฟรนไชส์ Star Wars ไปอีกนานเลยล่ะ
สามารถติดตามเรื่องราวของจอมพลธรอว์นได้ในซีรีส์ Star Wars Rebels และ Ahsoka ที่ Disney+
ที่มา: mickeyblog, thepopverse, radiotimes
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส