นักแสดงรุ่นเก๋า เซอร์ แพทริก สจวร์ต (Patrick Stewart) นอกจากจะเป็นที่รู้จักจากการรับบทบาทเป็น โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ หรือ ชาร์ลส์ เซเวียร์ (Charles Xavier) จากภาพยนตร์แฟรนไชส์ ‘X-Men’ ของ Marvel แล้ว อีกบทบาทที่สร้างชื่อให้กับคุณปู่สจวร์ต วัย 83 ปี ก็คือการรับบทเป็น กัปตัน ฌอง-ลุค พิคาร์ด (Jean-Luc Picard) แห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ จากแฟรนไชส์ ‘Star Trek’ ที่รับเหมาบทบาทนี้มาตั้งแต่เวอร์ชันทีวีซีรีส์ และเวอร์ชันหนังฉายโรง

ซึ่งสจวร์ตได้เล่าความทรงจำของเขาในหนัง ‘Star Trek: Nemesis’ (2002) ซึ่งถือเป็นหนังภาคสุดท้ายที่เขารับบทนี้ ใน ‘Making It So: A Memoir’ หนังสือบันทึกความทรงจำเล่มล่าสุดของเขาที่เพิ่งวางแผงไปสด ๆ ร้อน ๆ โดยเฉพาะประสบการณ์การทำงานร่วมกับ ทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) ที่ตอนนั้นยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่หมาด ๆ ที่เคยทำให้นักแสดงรุ่นใหญ่เผลอคิดว่า หมอนี่น่าจะไม่รุ่งในวงการบันเทิงแหง ๆ

Patrick Stewart Tom Hardy Star Trek Nemesis

“ในภาค ‘Nemesis’ ที่ออกฉายในปี 2002 มีความน่าเซ็งมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันไม่มีฉากไหนที่น่าตื่นเต้นให้ผมแสดงเลย แถมนักแสดงที่รับบทเป็นตัวร้ายของเรื่องอย่างชินซอน (Shinzon) ก็ดันเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าจากลอนดอนที่มีชื่อว่า ทอม ฮาร์ดี อีก”

“ทอมเป็นคนที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับพวกเราคนไหนเลย เขาไม่เคยพูดแม้แต่คำว่า ‘อรุณสวัสดิ์’ ไม่เคยกล่าวคำว่า ‘ราตรีสวัสดิ์’ เขาใช้เวลานานหลายชั่วโมงไปอย่างไม่จำเป็นในกองถ่ายอยู่กับแฟนสาวของเขา… คือเขาไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรูอะไรหรอก แต่มันแค่ทำให้ผมรู้สึกท้าทายที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเขาเท่านั้นเอง”

สจวร์ตรับบทเป็นกัปตันพิคาร์ดมาอย่างยาวนานมาตั้งแต่ยุคทีวีซีรีส์ ‘Star Trek: The Next Generation’ (1987-1994) และข้ามมารับบทเดิมในเวอร์ชันหนังครั้งแรกใน ‘Star Trek Generations’ (1994) ถือเป็นนักแสดงที่รับบทเดิมมายาวนาน โดยเขารับบทนี้ครั้งล่าสุดในซีรีส์ ‘Star Trek: Picard’ (2020–2023)

และครั้งสุดท้ายใน ‘Star Trek: Nemesis’ ที่เล่าเรื่องของกัปตันพิคาร์ด และลูกเรือยานเอ็นเตอร์ไพรส์-อี ที่ได้พบกับชินซอน หุ่นแอนดรอยด์วายร้ายร่างโคลนของพิคาร์ด ที่เข้ายึดและตั้งตนเป็นผู้ปกครองปกครองดาวโรมูลันแทน ภาคนี้กลายเป็นหนังที่ทำรายได้น้อยที่สุดของแฟรนไชส์เพียง 64 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 60 ล้านเหรียญ

Patrick Stewart Tom Hardy Star Trek Nemesis

ในขณะที่ ‘Star Trek: Nemesis’ ถือเป็นผลงานหนังเรื่องที่ 3 ของฮาร์ดี นักแสดงหน้าใหม่วัย 24 ปี หลังจากที่เปิดประเดิมผลงานหนังยาวเรื่องแรกในหนังสงครามเรื่องดัง ‘Black Hawk Down’ (2001) ก่อนจะมีผลงานเด่นในหนังหลายเรื่องในเวลาต่อมา ทั้ง ‘Marie Antoinette’ (2006)

รวมทั้งหนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ทั้ง ‘Inception’ (2010), ‘The Dark Knight Rises’ (2012), ‘Dunkirk’ (2017) รับบทเป็น เอ็ดดี บร็อก โฮสต์ของวีนอม ใน ‘Venom’ (2018) และ ‘Venom: Let There Be Carnage’ (2021) และรับบทในซีรีส์ ‘Peaky Blinders’ (2014–2022)

แน่นอนว่าด้วยพฤติกรรมไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ก็ทำให้นักแสดงมากประสบการณ์อย่างสจวร์ตแอบอดคิดถึงอนาคตในการทำงานเป็นนักแสดงอาชีพของฮาร์ดีไม่ได้ แต่ด้วยฝีไม้ลายมือการทำงานของฮาร์ดี ก็พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าครั้งนั้นเขาคิดผิด

“ในตอนเย็นวันนั้น ทอมปิดท้ายบทบาทของเขาเรียบร้อย แล้วก็จากไปโดยที่ไม่มีพิธีรีตองหรือการกล่าวลาใด ๆ เลย แค่เดินออกจากประตูไปเสียเฉย ๆ เมื่อเลิกกองแล้ว ผมแอบกระซิบกับ เบรนท์ สไปเนอร์ (Brent Spiner – เขียนบท/นักแสดงร่วม) และ โจนาธาน เฟรกส์ (Jonathan Frakes – นักแสดงร่วม) ว่า ‘ผมคิดว่ามีใครบางคนน่าจะไม่มีชื่อเสียงต่อไปอีกแน่ ๆ ‘ ซึ่งตอนหลัง ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่ายินดี ที่ผมรู้ว่าผมคิดเกี่ยวกับทอมเรื่องนี้ผิดไป”


ที่มา: Insider, Variety

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส