ดูเหมือนว่าปีที่ 100 ของบ้านมิกกี้เมาส์อย่าง Disney จะเป็นปีที่ไม่สวยงามนัก จากการที่ภาพยนตร์ในเครือเกือบทั้งหมดในรอบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ต้องพบกับความผิดหวังด้วยรายได้ Box Office ที่ไม่เข้าเป้า หรือเต็มที่ก็แค่เสมอตัว จนนำไปสู่การตั้งคำถามจากทั้งนักลงทุนและแฟนหนังว่า บริษัทอุตสาหกรรมบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะขยับปรับตัวอย่างไร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงและแรงกดดันมากมาย
ล่าสุด บ็อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) CEO คนปัจจุบันของ The Walt Disney Company ได้เปิดเผยเรื่องนี้ในระหว่างการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของบริษัท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ไอเกอร์เพิ่งเซ็นสัญญาขยายระยะเวลาในการรับตำแหน่ง CEO ออกไปอีก 2 ปี เนื่องจากสัญญาฉบับแรกกำลังจะหมดลงในปี 2024
ไอเกอร์ได้เปิดเผยข้อมูลกับนักลงทุนว่า แม้ในช่วงรอบ 1 ปีที่ผ่านมา 10 อันดับหนังที่ทำรายได้สูงสุด เป็นหนังในเครือของ Disney ถึง 4 เรื่อง รวมทั้ง ‘Avatar: The Way of Water’ (2022) ของ 20th Century Studios ที่ทำรายได้ติดอันดับ 3 ของหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล แต่เขาเองก็ยอมรับกับนักลงทุนแบบตรง ๆ ว่า เขาเองก็ตระหนักว่า ที่ผ่านมา บริษัทมุ่งเน้นผลิตหนังออกมามากเกินไปจนทำให้คุณภาพของหนังทำออกมาได้ไม่ดีนัก
“ในขณะที่ผมได้ดูผลงานของเราโดยรวม ๆ ทั้งสตูดิโอ มันชัดเจนว่า การระบาดใหญ่ทำให้เกิดความท้าทายต่อความคิดสร้างสรรค์สำหรับทุกคน รวมถึงพวกเราด้วย นอกจากนี้ ในช่วงที่เกิดโรคระบาด เรากำลังจะมีแนวโน้มว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งผมเองก็รู้สึกอยู่ตลอดว่า ปริมาณอาจส่งผลเสียได้จริง ๆ ในแง่ของคุณภาพ และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ผมยอมรับว่าเราหลุดโฟกัสไปบ้าง”
นับตั้งแต่ปี 2022 ที่โรคระบาดเริ่มจางหาย แต่ Disney กลับพบปัญหา หลังจากที่หนังของทั้ง Disney เอง และในเครือจำนวนมากกลับต้องประสบความล้มเหลวทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์มาตลอด ตั้งแต่แอนิเมชัน ‘Strange World’ (2022) รวมทั้งฝั่งของค่าย Pixar ทั้ง ‘Lightyear’ (2022), และ ‘Elemental’ ที่ฉายในปีนี้ก็ขาดทุนยับ ส่วนเรื่องหลัง กว่าจะกระแสติดก็เข้าฉายใน Disney+ ไปแล้ว ส่วน ‘Encanto’ (2021) ที่แม้คำวิจารณ์ดี แต่ก็ได้เพียงแค่คืนทุน
ในฝั่งหนังไลฟ์แอ็กชัน ก็เรียกได้ว่าเจ๊งยับแบบสุด ๆ ตั้งแต่หนังออริจินัลของ Disney+ ทั้ง ‘Pinocchio’ (2022), ‘Disenchanted’ (2022) และ ‘Peter Pan & Wendy‘ ที่โดนกระหน่ำคำวิจารณ์ รวมทั้งหนังฉายโรงทั้ง ‘The Little Mermaid’ ที่โดนกระแสต่อต้านจนทำรายได้แบบพอคืนทุน ส่วน ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ กลายเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ปิดตำนานได้ไม่สวยงามนัก ในขณะที่ ‘Haunted Mansion’ โดนกระแส Barbenheimer กลบมิดจนต้องรีบเข้าฉายใน Disney+ โดยเร็ว
ในขณะที่ฝั่งหนังซูเปอร์ฮีโรของ Marvel Studios ก็โดนวิจารณ์และทำรายได้ไม่สวยงามเช่นกัน นับตั้งแต่ ‘Eternals’ (2021) และ ‘Black Widow’ (2021) ที่โดนวิจารณ์อย่างหนัก ทำให้ภาพรวมของเฟส 4 จึงออกมาดูไม่ค่อยน่าประทับใจ พอเข้าเฟส 5 มีเพียง ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ที่ทำรายได้งดงามและได้คำชม แต่ ‘Ant-Man and the Wasp: Quantumania’ กลับทำรายได้ไม่ดี รวมทั้งหนังเรื่องล่าสุดอย่าง ‘The Marvels’ ที่ดูมีแววขาดทุนสูงมาก เพราะใช้ทุนสร้างถึง 250 ล้านเหรียญ แต่กลับทำรายได้ตอนเปิดตัว 3 วันแรกได้เพียง 47 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของ MCU
ก่อนหน้านี้ ไอเกอร์ได้ให้สัญญาว่าจะลดการทำสงครามวัฒนธรรม (Culture Wars) ในคอนเทนต์ของตัวเองลง จากนี้คงต้องรอดูว่ายักษ์อย่าง Disney จะพลิกตัวท่าไหนให้ได้กำไร ในขณะที่แอนิเมชันฉลองครบรอบ Disney 100 ปีอย่าง ‘Wish’ ที่จะเข้าฉายในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ ก็น่าจับตามองไม่น้อยว่าจะพลิกกลับมากำไร หรือจะกลายเป็นอีกหนึ่งแผลเป็นก่อนก้าวเข้าสู่ปีที่ 101 ซึ่งแม้จะยอมรับว่าหนังของ Disney มีปัญหา แต่ไอเกอร์เองก็ยังคงฝากความหวังไว้กับแอนิเมชันเรื่องนี้ และการปรับตัวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป
“เราทุกคนรวมถึงผมกำลังจะพยายามทำสิ่งนั้น เห็นได้ชัดครับว่า เรามีทรัพย์สินที่ยอดเยี่ยม เรื่องราวดี ๆ จากทรัพย์สินของเราเองหรือจากที่เราซื้อมาที่อยากจะเล่าให้ฟัง ผมรู้สึกในแง่ดีจริง ๆ เกี่ยวกับแผนของเราในอนาคต ซึ่งจะเป็นความสมดุลระหว่างภาคต่อที่แข็งแกร่ง ไตเติลที่ได้รับความนิยม รวมทั้งงานออริจินัลบางส่วนที่ดี ซึ่งจะเริ่มต้นด้วย ‘Wish’ ที่ออกฉายในสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้า”
“ผมรู้สึกดีกับทิศทางที่เรากำลังจะมุ่งไป แต่ผมก็คำนึงถึงความจริงที่ว่า มองจากในแง่คุณภาพ ผลงานของเรานั้นยังไม่เป็นไปตามมาตฐานที่เราตั้งไว้ให้กับตัวเราเอง
ที่มา: The Hollywood Reporter, CBR
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส