ความโดดเด่นของหนังคาวบอยตะวันตกอย่าง ‘The Quick and the Dead’ (1995) คงไม่ใช่เรื่องรายได้หรือคำวิจารณ์ แต่คือการเป็นจุดเริ่มต้นการจับงานเบื้องหลังครั้งแรกของนางเอกแถวหน้าในเวลานั้นอย่าง ชารอน สโตน (Sharon Stone) ที่ควบทั้งรับบทเป็นนางเอกและเป็นโปรดิวเซอร์ รวมทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพการแสดงของ 2 นักแสดงหนุ่ม 2 รุ่นที่กำลังจะมีผลงานโด่งดังในอนาคตทั้ง รัสเซลล์ โครว์ (Russell Crowe)

รวมทั้ง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ที่แม้สตูดิโอจะปฏิเสธในทีแรก ซึ่งคนที่ผลักดันจนทำให้หนุ่มน้อยวัย 21 ปีในเวลานั้นได้ร่วมแสดงด้วยก็คือ โปรดิวเซอร์และนักแสดงนำอย่างสโตน ที่ลงทุนหักค่าตัวของเธอเองเพื่อจ่ายค่าตัวให้ดิแคพรีโอ เพราะเธอเองต้องการให้เขามาร่วมแสดงหนังให้ได้ ล่าสุด ดิแคพรีโอได้เล่าเรื่องนี้กับ E! News ในระหว่างโปรโมตหนัง ‘Killers of the Flower Moon’ ถึงความรู้สึกขอบคุณอย่างซาบซึ้งถึงโอกาสที่นางเอกดังมอบให้ในเวลานั้น

“เธอเป็นคนบอกว่า ‘นี่คือนักแสดง 2 คนที่ฉันอยากจะร่วมงานด้วย’ มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากครับ เธอเปรียบเหมือนกับแชมเปี้ยนที่ยิ่งใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ และให้โอกาสกับนักแสดงคนอื่น ๆ ดังนั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณเธอมาก ๆ จริง ๆ ผมขอบคุณเธอไปหลายครั้งแล้วแหละ นี่ผมก็ไม่รู้ว่าผมได้ส่งของขวัญเพื่อแสดงความขอบคุณไปให้เธอแล้วหรือยัง ผมไม่รู้จะขอบคุณเธอยังไงให้เพียงพอเลย”

‘The Quick and the Dead’ เล่าเรื่องของเลดี้ (สโตน) นักแม่นปืนหญิงที่เดินทางมายังเมืองโอลด์เวสต์ ที่ปกครองโดย จอห์น เฮรอด (จีน แฮ็กแมน – Gene Hackman) ผู้ทรงอิทธิพลของเมือง ที่ประกาศจัดการแข่งขันดวลปืนขึ้นแบบนัดเดียวจบ โดยมีเงินรางวัลก้อนใหญ่เป็นเดิมพัน

Sharon Stone The Quick and the Dead

ใน ‘The Beauty of Living Twice’ หนังสือบันทึกความทรงจำของสโตน ได้บันทึกเกี่ยวกับเบื้องหลังการทำงานของหนัง ‘The Quick and the Dead’ ในฐานะโปรดิวเซอร์ หลังจากที่เธอมีชื่อเสียงโด่งดังสุดขีดในหนัง ‘Basic Instinct’ (1992) ว่า ในเวลานั้นเธอต้องทำการออดิชันนักแสดงวัยรุ่นที่จะมารับบทบาทเป็น เดอะคิด หรือ ฟี เฮรอด คาวบอยวัยหนุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขันดวลปืน

สโตนประทับใจการแสดงของหนุ่มลีโอ หลังจากที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกจากหนัง ‘What’s Eating Gilbert Grape’ (1994) ร่วมกับ จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ซึ่งสโตนได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือว่า เขาคือนักแสดงคนเดียวที่เธอยืนกรานให้มาร่วมแสดงให้ได้ เพราะเธอรู้สึกว่าเขาคือคนเดียวที่สามารถผ่านการออดิชันได้ “ในความคิดของฉัน เขาเป็นคนเดียวที่เดินเข้ามาร้องไห้ และขอร้องให้พ่อรักเขา ตอนที่เขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ”

แต่สุดท้าย สตูดิโอเจ้าของหนังอย่าง ไทรสตาร์ พิกเจอร์ส (TriStar Pictures) ก็ปฏิเสธ เพราะด้วยความที่ในเวลานั้นดิแคพรีโอในเวลานั้นก็ยังไม่ได้ดังเปรี้ยง แถมคาแรกเตอร์คาวบอยในหนังเรื่องนี้ก็ดูจะฉีกแนวกับภาพลักษณ์วัยรุ่นของหนุ่มลีโอในเวลานั้นพอสมควร แต่สโตนเองที่ปักใจกับนักแสดงหนุ่มน้อยคนนี้ไปแล้ว จึงยอมหักเงินค่าตัวส่วนของตัวเอง เพื่อจ่ายค่าตัวให้ดิแคพรีโอ

แน่นอนว่าสตูดิโอเองก็ไม่พอใจ เพราะหลังบ้านก็จะยุ่งยากในแง่ของการจัดการภาษีเพิ่มขึ้นด้วย จนถึงขั้นที่สโตนเล่าไว้ในหนังสือว่า สตูดิโอได้บ่นกับเธอในเรื่องนี้ว่า “ทำไมต้องเลือกนักแสดงโนเนมคนนี้ด้วยล่ะ สโตน ทำไมคุณถึงเอาแต่ทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลาเนี่ย ? “

ในการทำงานหนังเรื่องนี้ สโตนขึ้นชื่อว่าเป็นโปรดิวเซอร์ที่ยืนกรานในการเลือกทีมงานและนักแสดงแบบสุดขีด นอกจากดิแคพรีโอแล้ว เธอยังเป็นคนที่ยืนกรานให้โครว์ นักแสดงชาวออสเตรเลียมารับบทเป็น คอร์ต อดีตนักแม่นปืนในคราบนักบวช เพราะสโตนชื่นชอบการแสดงของเขาใน ‘Romper Stomper’ (1992) อย่างมาก ซึ่งสตูดิโอก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน แต่สโตนก็ยังยืนกรานจนถึงขั้นยอมพักกองไปก่อน เพื่อรอคิวถ่ายของโครว์ ที่กำลังแสดงหนังออสเตรเลีย ‘The Sum of Us’ (1994) จนเสร็จสิ้นเลยทีเดียว ซึ่งในภายหลัง โครว์ก็มักจะพูดถึงสโตนในฐานะที่เป็นผู้ให้โอกาสในฮอลลีวูดแก่เขาอย่างแท้จริง

Leonardo DiCaprio The Quick and the Dead

การยืนกรานของสโตนยังรวมไปถึงการเลือก แซม ไรมี (Sam Raimi) ผู้กำกับหนังสยองขวัญทุนต่ำ ‘The Evil Dead’ เพราะเธอชอบผลงาน ‘Army of Darkness’ (1992) ของเขามาก ๆ แม้สตูดิโอจะมองว่าไรมี ที่โด่งดังจากหนังสยองขวัญ น่าจะไม่เข้าทางกับหนังคาวบอยจ๋า ๆ แบบนี้ก็ตาม รวมถึงเรื่องจุกจิกจิปาถะ ทั้งความพยายามให้ทีมงานยืมปืน เสื้อผ้าจริง ๆ อายุนับ 100 ปีมาเข้าฉากเพื่อความสมจริง หรือแม้แต่การที่สโตนมักจะสั่งแก้ไขบทรายวันแบบแก้ไปถ่ายไป และอีกนับไม่ถ้วน

แม้จะแปลกใหม่ในแง่ของการนำเสนอคาแรกเตอร์คาวบอยหญิงที่ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อย ๆ และหนังเรื่องนี้ยังเป็นแรงส่งให้ทั้งโครว์ และดิแคพรีโอต่างก็มีผลงานแจ้งเกิดในหนังฟอร์มยักษ์ในเวลาต่อมา กลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่โด่งดังไปทั่วทั้งโลกกันทั้งคู่ แต่หนังเรื่องนี้กลับทำรายได้เพียงโปะค่าโปรดักชันที่ 47 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 35 ล้านเหรียญ รวมทั้งยังได้รับคำวิจารณ์ในระดับกลาง ๆ ก่อนที่ตัวหนังจะได้รับความนิยมในหมู่แฟนคลับกลุ่มเล็ก ๆ ในเวลาต่อมา

สโตนได้เขียนเล่าช่วงชีวิตหนึ่งของเธอ เสมือนเป็นการสรุปถึงที่เคยรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หนัง เอาไว้ในหนังสือของเธอเองว่า “ในฐานะนักแสดงหญิง ในธุรกิจนี้ การได้รับเครดิตโปรดิวเซอร์ถือเป็น ‘ข้อตกลงที่แสนจะฟุ้งเฟ้อ’ หมายความว่า พวกเขาจ่ายเงินให้คุณสำหรับงานนี้แล้ว พวกเขาก็ยังต้องหุบปาก แถมยังต้องหลีกทางให้อีก”

“ฉันบอกกับทีมงานไว้ล่วงหน้าว่า ฉันเองจะไม่ยอมรับในข้อตกลงที่แสนจะฟุ้งเฟ้อนั้นเด็ดขาด นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันเองอยากทำงานภายใต้ความถูกต้อง ซึ่งในอีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้เกิดความเงียบงันและไม่มีความสุขด้วยเหมือนกัน”


ที่มา: E! News, DailyMail, Variety

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส