แม้ว่า ‘The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes’ จะได้คะแนนวิจารณ์บน Rotten Tomatoes ไปเพียง 62% (ฉิวเฉียดจะไม่ได้อยู่ในระดับสดใหม่ซึ่งตัดคะแนนที่ 60%) จากนักวิจารณ์จำนวน 174 คน แต่ทางฝั่งผู้ชมนั้นค่อนข้างมีความเห็นแย้งและชื่นภาพยนตร์ภาคล่าสุดของแฟรนไชส์นี้เป็นอย่างมาก
แต่ ‘The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes’ ก็ได้คะแนนวิจารณ์จากฝั่งผู้ชมไปสูงถึง 91% (ลดลงจาก 100% ในช่วงเปิดรอบพรีเมียร์) จากผู้ชมที่เข้ามาแสดงความเห็นต่อภาพยนตร์จำนวนกว่า 500 คน ซึ่งถือได้ว่าเป็นคะแนนวิจารณ์จากฝั่งผู้ชมที่สูงสุดของแฟรนไชส์ แซงหน้า ‘The Hunger Games: Catching Fire’ (2013) ที่ได้คะแนนจากผู้ชมไป 89%
สำหรับ ‘The Hunger Games’ ภาคต้นฉบับเมื่อปี 2012 นั้น ได้ไป 81% ในขณะที่ ‘The Hunger Games: Mockingjay – Part 1’ (2014) และ ‘Mockingjay – Part 2’ (2015) นั้น ได้ไป 71% และ 66% ตามลำดับ
นั่นแสดงให้เห็นว่า ‘The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes’ ได้กลับมาสร้างความสดใหม่ให้แฟรนไชส์ โดยตัวภาพยนตร์เดินเรื่อง 64 ปี ก่อนเหตุการณ์ใน ‘The Hunger Games’ ภาคแรก จึงเป็นหมุดหมายอันดีที่สตูดิโอ Lionsgate อาจพัฒนาภาค Prequel ของแฟรนไชส์นี้ต่อไปในอนาคตได้
แต่ถึงกระนั้น ทางสตูดิโอต้องลุ้นกับรายได้ของภาพยนตร์ที่เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในสหรัฐฯ อย่างไม่น่าประทับใจนัก เพียง 44 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยที่สุดในแฟรนไชส์ ในขณะที่ ‘The Hunger Games: Catching Fire’ นั้น ทำไว้สูงสุดที่ 158.1 ล้านเหรียญ และภาคแรกทำไว้ที่ 152.5 ล้านเหรียญ ส่วน ‘The Hunger Games: Mockingjay – Part 1’ และ ‘Mockingjay – Part 2’ นั้น ทำไปที่ 121.9 ล้านเหรียญ และ 102.7 ล้านเหรียญ ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ‘The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes’ ทำรายได้ทั่วโลกสุดสัปดาห์แรกไป 98.5 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ จึงต้องรอดูว่ากระแสปากต่อปากจะคงความนิยมของภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ได้หรือไม่
ที่มา : ScreenRant และ TheNumbers
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส