นอกจาก ‘Zack Snyder’s Justice League’ เวอร์ชัน Director’s Cut ของฉบับหนังฉายโรงแล้ว ดูเหมือนว่า ปีนี้ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) จะยังคงติดใจกับการทำหนังเวอร์ชันพิเศษ เพราะในหนังมหากาพย์ไซไฟผลงานล่าสุด ‘Rebel Moon’ ของ Netflix ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ ‘Rebel Moon Part One: A Child of Fire’ ที่จะฉายในวันที่ 22 ธันวาคม และตอนที่ 2 ‘Rebel Moon Part Two: The Scargiver’ ที่จะฉายในวันที่ 19 เมษายน 2024 นั้นจะมีเวอร์ชัน Director’s Cut แยกออกมาจากฉบับปกติ และทั้ง 2 เวอร์ชันจะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ในการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดกับนิตยสาร Entertainment Weekly สไนเดอร์ได้ยืนยันชัดเจนว่า ‘Rebel Moon’ ฉบับ Director’s Cut นั้นจะไม่ใช่แค่เพิ่มฉากเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จะมีการเพิ่มส่วนสำคัญของหนังที่แตกต่างออกไป และจะมีเนื้อหาเรต R ที่มีความรุนแรงกว่าเวอร์ชันปกติที่ได้เรต PG-13 ด้วย
และที่สำคัญคือ นี่เป็นแผนที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมีการทำเวอร์ชันเรต R ออกมาด้วย และได้รับการอนุมัติจาก Netflix ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิต ด้วยเพราะผู้กำกับและสตูดิโอตั้งใจที่จะนำเสนอแนวทางที่แตกต่างกันของ ‘Rebel Moon’ ทั้ง 2 เวอร์ชัน
โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องราวความเป็นหนังไซไฟเรต R ที่รุนแรงและหนักหน่วงกว่าปกติ ซึ่งไม่เคยมีในแฟรนไชส์หนังไซไฟกระแสหลัก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ภูมิใจในเวอร์ชันปกติที่สามารถรับชมได้ทั่วไปด้วย “มันจะนานกว่านั้นถึง 1 ชั่วโมงเต็มครับ มันไม่ใช่แค่แตกต่างแค่เพียงเล็กน้อย หรือมากกว่านั้นขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่ในหนังมีเนื้อหาก้อนใหญ่ที่แตกต่างกันอยู่”
“ผมภูมิใจอย่างมากกับเวอร์ชัน PG-13 ที่เป็นเวอร์ชันที่เหมาะกับผู้ชมในวงกว้างขึ้น สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ (เวอร์ชันเรต R) นั้นเป็นการเพิ่มความรู้สึกยอดเยี่ยม เหนือกาลเวลา ขยายขอบเขตเรื่องราวที่สะใจยิ่งกว่าเดิม สิ่งที่เราทำในเวอร์ชันนั้นจะสนุกแบบวินาศสันตะโรมาก เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีหนังไซไฟเรต R ในสเกลนี้มาก่อนเลย”
นอกจาก ‘Zack Snyder’s Justice League’ สไนเดอร์เป็นผู้กำกับที่มีหนังเวอร์ชัน Director’s Cut ออกมาให้ชมมากมาย ในการสัมภาษณ์กับ ComicBook.com สไนเดอร์ได้เล่าเบื้องหลังการทำ ‘Rebel Moon’ เรต R และความชื่นชอบส่วนตัวของเขาที่มีต่อหนังเวอร์ชัน Director’s Cut
“ตั้งแต่ผมทำ ‘Dawn of the Dead’ (2004) ผมก็ทำ Director’s Cut มาตลอด กับ ‘Watchmen’ (2009) ก็มี 2 เวอร์ชัน ซึ่งมันโคตรบ้าเลย ‘Batman v Superman: Dawn of Justice Ultimate Edition’ (2016) คือหนึ่งในเรื่องโปรดของผม รวมถึง ‘Justice League’ ด้วยเหมือนกัน”
“ผมคิดถึงเรื่องนี้กับ Netflix ไว้แล้วตอนที่เพิ่งทำ ‘Justice League’ เสร็จใหม่ ๆ มันเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรมาก ในการสนทนาครั้งแรกเกี่ยวกับแนวคิดนี้ กับ Netflix พวกเขาตอบกลับมาว่า ‘ถ้างั้นก็ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนไปเลยมั้ยล่ะ ?’ มันเลยเป็นอะไรที่ง่ายมาก”
“ประวัติศาสตร์หนังฉบับ Director’s Cut นั้นเป็นอะไรที่เจ๋งมาก ตอนสมัยผมเรียน ผมอยู่ในโรงหนังและมักจะคิดเสมอว่า มันคงเจ๋งมากนะถ้าจะมีหนังอีกเรื่องให้ค้นพบ สำหรับผม เมื่อคุณทำหนัง คุณจะมีเสียงมากมายในความคิดที่คอยบอกว่าจะเล่าอะไร การมี Director’s Cut เป็นเพียงทางออกเดียวที่ดีที่สุด”
“จากนั้นก็จะมีความคิดอื่นมาดึงความคิดคุณ แต่ผมก็จะจบมันลงตรงที่ ‘ถ้าจะมีโพรงกระต่ายที่น่าทึ่งให้เรามุดไปเจอได้จริง ๆ ได้เรียนรู้แง่มุมต่าง ๆ ของตัวละครให้มากขึ้นล่ะ มันจะออกมาเป็นยังไง ? ‘ สิ่งเหล่านั้นมักจะอยู่ตอนที่ผมคิดซีนหรือตอนเขียนบท ผมมักจะจบเนื้อเรื่องด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า มันน่าจะเล่าเรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ได้”
‘Rebel Moon’ เล่าถึงเรื่องราวของ คอรา (โซเฟีย บูเตลลา – Sofia Boutella) สาวแปลกหน้าลึกลับที่อาศัยอยู่ในอาณานิคมบริเวณสุดขอบจักรวาลอันเงียบสงบ เธอกลายเป็นความหวังเดียวในการตามหานักรบเพื่อป้องกันการรุกรานจากจอมเผด็จการเพื่อกอบกู้ความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง ดั้งเดิมโปรเจกต์นี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในจักรวาล ‘Star Wars’ แต่ถูกระงับไปหลังจากที่ Disney เข้าซื้อกิจการ Lucasfilm สไนเดอร์จึงได้นำเรื่องราวนี้มาดัดแปลงในรูปแบบหนังไซไฟออริจินัลของเขาเองแทน
สไนเดอร์ได้ทิ้งท้ายถึงการที่ Netflix อนุมัติให้เขาทำหนัง ‘Rebel Moon’ 2 เวอร์ชัน ทั้งเรต PG-13 เรต R ออกมา ทำให้เขารู้สึกว่าได้ทำหนังที่ตรงกับวิสัยทัศน์ของเขาจริง ๆ โดยไม่ต้องถูกสตูดิโอคอยแทรกแซงเหมือนอย่างที่เขาเคยพบเจอมาในอดีต
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมสามารถทำหนังได้ออกมาตามที่ผมตั้งใจและวางแผนไว้ตั้งแต่แรกได้ ไม่ใช่หนังเวอร์ชันที่ผมต้องคอยงัดกับพวกเขาว่า ‘โอเค คุณไม่อยากได้สิ่งที่ผมทำใช่ไหม แต่อย่างน้อยคุณต้องเอาอันนี้ไปใส่ใน DVD ด้วยนะ'”
ที่มา: Entertainment Weekly, IndieWire
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส