คำเตือน : เนื้อหาในบทความนี้พูดถึงจุดสำคัญในหนัง ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’

เหตุการณ์ในหนัง ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ เกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 60 ปีก่อนที่ แคตนิส เอเวอร์ดีน จะก้าวเข้าสู่สนามประลอง แต่เรื่องราวก่อนหน้าภาคนี้ก็เต็มไปด้วยอีสเตอร์เอ้กที่อ้างอิงถึงหนัง ‘The Hunger Games’ ภาคก่อน ๆ มีเพียง 2 ตัวละครเท่านั้นที่ปรากฎตัวทั้งภาคดั้งเดิมและภาคก่อนหน้าก็คือ คอริโอเลนัส สโนว์ (Coriolanus Snow) และ ไทกริส (Tigris) ญาติผู้พี่ของเขา ประธานาธิบดีสโนว์ในภาคก่อนรับบทโดย โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ (Donald Sutherland) ส่วนในภาคย้อนอดีตนี้ รับบทโดย ทอม ไบลธ์ (Tom Blyth)

มีจุดเชื่อมโยงไปถึงหนัง ‘The Hunger Games’ มากมายซุกซ่อนอยู่ใน ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ มีทั้งภาพที่โผล่มาแค่พริบตา ไปจนถึงเพลง “The Hanging Tree” ที่แฟน ๆ หนังชุดนี้คุ้นเคยกัน และจุดเชื่อมโยงที่โจ่งแจ้งที่สุดก็คือฉากที่ ลูซี เกรย์ และ คอริโอไลนัส นอนพักกันอยู่ที่ริมทะเลสาบ แล้ว มอด ไอโวรี สาวน้อยที่อยู่ในกลุ่มคาราวานเดียวกับลูซีเก็บต้นมันฝรั่งจากบึงมาให้ลูซี แล้วลูซีก็ตั้งชื่อให้ต้นนี้ว่า “แคตนิส”

นีนา จาคอบสัน

นีนา จาคอบสัน (Nina Jacobson) ผู้สร้างหนัง 4 ภาคแรกและภาคก่อนหน้านี้ได้กล่าวถึงฉากนี้ว่า ต้นแคตนิสในเรื่องนี้ เป็นพืชที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งแต่ขณะเดียวกันก็มีความยืดหยุ่นแล้วยังมีดอกที่สวยงาม
“ฉันชอบช่วงเวลาในฉากนี้ ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นผู้ชมที่ได้เห็นฉากนี้ร่วมกันครั้งแรก”
เช่นเดียวกับฉากจบของภาคนี้ ที่ยังคงทิ้งการเชื่อมโยงถึงตัวแคตนิสให้คงเป็นปริศนา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ ซูซาน คอลลินส์ (Suzanne Collins) ผู้ประพันธ์ ว่าจะเผยปริศนาออกมาเมื่อใด
“เราสงสัยกันว่า จากชื่อของต้นมันฝรั่งนั้นกลายมาเป็นชื่อของสาวน้อยที่เรารู้จักกันได้อย่างไร ? ฉันเองก็ยังไม่รู้คำตอบนี้เช่นกัน ซูซานไม่ได้บอกฉันว่ามันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร แต่ฉันก็ชอบที่จะนึกถึงปริศนาข้อนี้นะ”

และจากนี้ก็คืออีสเตอร์เอ้กที่เป็นจุดเชื่อมโยงต่าง ๆ ระหว่าง 4 ภาคดั้งเดิมและภาคก่อนหน้า

1.ท่าโค้งคำนับของ ลูซี เกรย์ แบร์ด

นี่เป็นจุดเชื่อมโยงที่เผยออกมาให้แฟน ๆ ได้เห็นก่อนที่หนังจะเข้าฉายเลยด้วยซ้ำ เพราะปรากฎมาในตัวอย่างหนัง ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ เป็นฉากสั้น ๆ ที่เผยให้เห็นว่า ลูซี เกรย์ ถูกเลือกให้เป็น ‘บรรณาการ’ จากเขต 12 หรือตัวแทนที่จะต้องลงแข่งขันใน ‘เกมล่าชีวิต’ ครั้งที่ 10 เมื่อ ลูซี เกรย์ ก้าวขึ้นเวทีเธอก็หันมาโค้งคำนับให้กล้อง เมื่อภาพนี้เผยออกมา แฟน ๆ ก็สังเกตเห็นความคล้ายคลึงนี้ทันทีว่า ลูซี เกรย์ และ แคตนิส ต่างก็โค้งคำนับให้กับ “ผู้คุมเกม” (gamemakers) เช่นเดียวกัน เป็นการโค้งคำนับที่ดูเหมือนให้ความเคารพแต่สีหน้าที่แสดงออกก็แฝงถึงความเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด

ราเชล เซกเลอร์ (Rachel Zegler) เอ่ยถึงฉากนี้ผ่านทางบัญชี X ของเธอว่าการโค้งคำนับนี้เป็นการด้นสดหน้ากล้องของเธอเอง
“ฉากนี้ฉันด้นสดขึ้นมาเอง” เธอทวีตตอบแฟน ๆ ที่นำภาพโค้งคำนับของแคตนิสและ ลูซี เกรย์ มาเปรียบเทียบกัน เมื่อเดือนเมษายน
เซเกลอร์เผยต่อว่า ถึงแม้ว่า ลูซี เกรย์ และ แคตนิส ต่างก็เป็นวัยรุ่นที่ต้องเผชิญกับด้านเลวร้ายของสงคราม แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกัน เพราะว่า ลูซี เกรย์ นั้นชอบการแสดงบนเวทีและมีความหม่น ๆ ทางด้านศีลธรรม

2.พิธีกรประจำการแข่งขัน


หนึ่งในเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์ ‘Hunger Games’ ตั้งแต่ 4 ภาคแรกมาจนถึงภาคก่อนหน้านี้ ก็คือการถ่ายทอดสดการแข่งขัน และดำเนินรายการด้วยพิธีกรที่มาพร้อมกับลีลาอันโดดเด่น ใน 4 ภาคก่อนนั้น เราจะคุ้นเคยกับพิธีกรเจ้าประจำ ซีซาร์ ฟลิคเกอร์แมน ที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์แปลกตา ผมสีสด ฟันขาว บทบาทของ สแตนลีย์ ทุชชี (Stanley Tucci) แต่ใน ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ เราได้พบกับพิธีกรที่มีลีลาโดดเด่นไม่แพ้กัน นั่นก็คือ ลัคกี้ ฟลิคเกอร์แมน รับบทโดย เจสัน ชวาร์ตแมน (Jason Schwartzman) เราจะสังเกตเห็นได้ว่า พิธีกรทั้งสองรุ่นนี้มีนามสกุลเหมือนกัน แน่ล่ะว่าทั้งคู่จะต้องมีความเกี่ยงข้องกันทางสายเลือด แต่ในหนังก็ไม่มีการเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ในจุดนี้ แต่ก็มีฉากหนึ่งที่เผยเป็นนัยว่าลัคกี้มีลูก ในฉากที่เขาโทรไปจองโต๊ะในร้านอาหาร แล้วระบุว่า “ผู้ใหญ่ 2 คน และเก้าอี้สูง” ซึ่งเก้าอี้สูงนั่นก็หมายถึงเก้าอี้สำหรับเด็กนั่นเอง เป็นไปได้ว่าลูกของลัคกี้นี่ก็คือ ซีซาร์ ฟลิคเกอร์แมน

3.สโนว์และม็อกกิ้งเจย์


แฟน ๆ ของแฟรนไชส์ ‘Hunger Games’ จะทราบกันดีว่า แคตนิสนั้นในภายหลังเธอได้กลายเป็น “ม็อกกิ้งเจย์” (Mockingjay) สัญลักษณ์ของกลุ่มกบฏปฏิวัติ และตั้งตนเป็นคู่ปรับตัวสำคัญต่อประธานาธิบดีสโนว์

หลาย ๆ เหตุการณ์ใน ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ ได้ปูทางให้เราเล่นเห็นว่า สโนว์เริ่มที่จะเกลียดชังเจ้านกม็อกกิ้งเจย์ตั้งแต่วัยหนุ่มมาแล้ว สโนว์รู้จักนกสายพันธุ์นี้ตอนที่เขามาประจำการอยู่ในเขต 12 ส่วนในหนังสือนั้นเขียนไว้ว่า เขาไม่ชอบนกม็อกกิ้งเจย์ตั้งแต่แรกรู้จักมันเลยทันที เหตุผลก็เพราะความสามารถเฉพาะของนกสายพันธุ์นี้ที่สามารถเลียนแบบเสียงของมนุษย์ได้เหมือนมาก

เมื่อชาวบ้านที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดจะถูกนำตัวไปแขวนคอที่ “ต้นไม้แขวนคอ” นกม็อกกิ้งเจย์ก็จะจดจำคำพูดสุดท้ายของผู้ที่ถูกประหารแล้วบินวนไปมาพร้อมกับร้องคำพูดนั้นซ้ำ ๆ เป็นบรรยากาศที่สุดหลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากที่ เซเจนัส เพื่อนสนิทของสโนว์ถูกแขวนคอ

อีกเหตุการณ์ที่ตอกย้ำให้สโนว์เกลียดชังนกม็อกกิ้งเจย์ เมื่อ ลูซี เกรย์ หลบหนีจากสโนว์ เธอใช้ประโยชน์จากนกม็อกกิ้งเจย์ด้วยการวิ่งหนีแล้วร้องเพลงดัง ๆ ไปด้วย นกม็อกกิ้งเจย์ก็จะบินวนแล้วร้องเลียนเสียงเธอ ทำให้สโนว์สับสน เขากรีดร้องด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับสาดกระสุนใส่ต้นไม้ หลังจากถูกเสียงนกร้องหลอนประสาท ทั้งหมดนี้เหมือนกับเป็นลางบอกว่า สุดท้ายแล้วนกม็อกกิ้งเจย์ก็ยังกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต

4.เพลง “The Hanging Tree”

เพลง “The Hanging Tree” นี่เรียกได้ว่าเป็นเพลงธีมของแฟรนไชส์ ‘Hunger Games’ เลยก็ว่าได้ เนื้อเพลงนั้นเขียนโดย ซูซาน คอลลินส์ ผู้ประพันธ์เอง เพลงนี้เคยถูกใช้มาแล้วในภาค ‘Mockingjay’ ก่อนจะนำมาเรียบเรียงใหม่และร้องโดย เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) ผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ เล่าว่า เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เธอกลัวการร้องเพลงนี้มาก

“เจนเค้ากังวลมาก เอาจริง ๆ แล้ว เค้าร้องไห้แทบทั้งวันเลยเพราะเขาไม่ชอบร้องเพลงโดยเฉพาะการต้องร้องเพลงต่อหน้าฝูงชน ผมก็เลยปลอบเธอว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักร้องที่สมบูรณ์แบบหรอก เอาเป็นว่า คุณเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่รู้จักเพลงที่เป็นตำนานสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นแค่นั้นพอ”

พอมาถึงภาคนี้ ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ เราก็ได้รู้ลึกถึงที่มาของเพลงอันเป็นตำนานบทนี้
ในหนังได้เผยให้ผู้ชมรู้ว่า ลูซี เกรย์ แบร์ด เป็นผู้แต่งเพลงนี้ เธอเขียนถึงการประหารชีวิตชายคนหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎและฆ่าคนไป 3 คนในเขต 12 เนื้อเพลงตอนหนึ่งร้องว่า
“Where dead man called out for his love to flee?” ในขณะที่เขากำลังจะถูกประหารชีวิต เขาก็ได้ตะโกนบอกคนรักของเขาให้หนีไป
“คุณจะได้เห็น ลูซี เกรย์ นั่งอยู่ในทุ่งหญ้าเดียวกันกับที่เราเห็นแคตนิสในภาคก่อน ๆ พวกเธอกำลังเล่นสนุกกัน ร้องเพลงกัน ในฉากนั้นคุณก็จะเห็น ‘ต้นไม้แขวนคอ’ อยู่ด้วย ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้คุณเข้าใจต้นกำเนิดของเพลงนี้”
ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ อธิบาย

หนังจบไปพร้อมกับชะตากรรมของ ลูซี เกรย์ ที่ไม่ได้รับการคลี่คลาย ดังนั้นจึงไม่มีการเปิดเผยชัดเจนว่า สุดท้ายแล้วเพลง “The Hanging Tree” สืบทอดกันมากว่า 60 ปีได้อย่างไร เรารู้แค่เพียงว่า แคตนิสรู้จักเพลงนี้จากพ่อของเธอ แต่ด้วยเพราะเพลงนี้เป็นเพลงต้องห้าม เธอจึงไม่ได้ร้องบ่อยนัก แต่หลังจากที่เธอได้ร้องเพลงนี้ใน ‘”Mockingjay Part1’ เพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงที่ใช้ปลุกระดมเพื่อก่อการปฏิวัติต่อต้านแคปิตอล

5.กุหลาบขาว สัญลักษณ์ของสโนว์


ใน ‘Hunger Games’4 ภาคแรกนั้น เราจะได้เห็นกุหลาบขาวอยู่บ่อยครั้ง มันทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวของประธานาธิบดีสโนว์ ซึ่งเขามักจะทิ้งไว้ให้ศัตรูก่อนที่เขาจะวางระเบิดหรือสังหารด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม
และใน ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ ก็ได้เผยที่มาว่าทำไมสโนว์ถึงเลือกใช้ดอกกุหลาบสีขาวเป็นสัญลักษณ์แทนตัว

เริ่มมาจากคุณยายของสโนว์ ที่แม้ว่าฐานะการเงินของครอบครัวจะย่ำแย่เพียงใด แต่คุณยายก็ยังหาทางปลูกกุหลาบขาวไว้บนหลังคาอะพาร์ตเมนต์อันซอมซ่อ และดูแลพวกมันอย่างดีจนผ่านช่วงสงครามมาได้ มีการเอ่ยถึงว่าแม่ของสโนว์ที่ล่วงลับไปแล้วก็ยังชอบใส่น้ำหอมกลิ่นกุหลาบอีกด้วย

ในวันที่ ลูซี เกรย์ เดินทางมายังแคปิตอลในฐานะบรรณาการตัวแทนเขต 12 สโนว์ที่รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของเธอ ก็ไปรอต้อนรับที่สถานีรถไฟ และนำกุหลาบสีชาวไปมอบให้กับเธอเป็นการต้อนรับ จากในภาคนี้เราได้เห็นกันว่า ดอกกุหลาบขาวทำหน้าที่สื่อถึงเจตนาอันดีมาโดยตลอด แต่เมื่อสโนว์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี เขาก็ยังติดดอกกุหลาบขาวไว้กับตัวอยู่เสมอ แต่ความหมายของดอกกุหลาบได้เปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามเสียแล้ว

6.สโนว์ชอบใช้ยาพิษ

สัญลักษณ์อีกอย่างของประธานาธิบดีสโนว์ก็คือ การชอบใช้ยาพิษสังหารศัตรู หรือไม่ก็ใช้ในการลงโทษ ที่จริงแล้ว เราจะสังเกตกันได้ว่า เรื่องราวการใช้ยาพิษนั้น มีบทบาทสำคัญกับทั้งแฟรนไชส์ ‘Hunger Games’ ในหนังภาคแรกนั้น แคตนิส กับ พีตา ตกลงปลงใจกันที่จะกินเบอร์รี่พิษแทนที่จะต่อสู้กันเองตามกฎใหม่ของ ‘Hunger Games’ และในตอนท้าย ประธานาธิบดีสโนว์ก็ใช้ยาพิษสังหาร เซเนกา เครน

มีการพูดถึงประวัติของสโนว์ว่าเขานิยมการใช้ยาพิษมานานหลายปีแล้ว เพื่อกำจัดศัตรูที่ขวางทางเขา และตัวเขาเองก็กินยาพิษเข้าไปมากด้วยเพื่อป้องกันข้อสงสัยในตัวเขา จนเขามีแผลถาวรจากพิษในปาก

ในหนัง ‘The Ballad of Songbirds and Snakes’ เราได้เห็นที่มาว่าทำไมสโนว์ถึงสนใจในการใช้ยาพิษ เขาเริ่มต้นจากยาเบื่อหนู เขาเแอบเอาให้ ลูซี เกรย์ ไปใช้ในการประลอง แล้วเขาใช้อีกครั้งในการสังหารครูใหญ่ ไฮบอตทอม และจากจุดนี้ล่ะ ที่เขาน่าจะเริ่มรู้สึกพึงพอใจกับผลจากการใช้ยาพิษกำจัดศัตรูของเขาได้สำเร็จ และใช้มันเป็นอาวุธมาโดยตลอดแม้กระทั่งวันที่เขาขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี

ที่มา : today digitalfx