ปี 2023 นี้เป็นปีที่หนังตลกดราม่าฟีลกู้ดสุดประทับใจ ‘Mrs. Doubtfire’ (1993) มีอายุครบรอบ 30 ปีพอดิบพอดี นอกจากจะประสบความสำเร็จด้านรายได้และคำวิจารณ์แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งผลงานที่นักแสดงตลกผู้ล่วงลับอย่าง โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams) ทิ้งเอาไว้ให้ โดยเฉพาะฝีมือการสวมคาแรกเตอร์ 2 สไตล์ ทั้งบท แดเนียล ฮิลลาร์ด คุณพ่อลูก 3 ที่ถูกภรรยาฟ้องหย่า จนต้องปลอมตัวเป็น คุณนายยูเฟจีเนีย เดาท์ไฟร์ หญิงสูงวัยชาวสก็อต ที่ทำทีมาสมัครเป็นแม่บ้าน เพื่อหาโอกาสใกล้ชิดกับลูก ๆ อีกครั้ง
ด้วยความสนุกซึ้งประทับใจครบรส ทำรายได้ Box office สูงถึง 441 ล้านเหรียญ แถมยังได้รับรางวัลออสการ์สาขาแต่งหน้าและออกแบบทรงผมยอดเยี่ยม ส่วนตัวของวิลเลียมส์ คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เพลงหรือตลกด้วยเช่นกัน ทำให้หลายคน (รวมทั้งสตูดิโอ) ก็อยากให้มีภาคต่อ
คริส โคลัมบัส (Chris Columbus) ผู้กำกับ ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Insider ในวาระครบรอบ 3 ทศวรรษของหนังเรื่องนี้ทั้งเบื้องหลัง การทำงานร่วมกับนักแสดงรุ่นใหญ่จอมด้นสด และคำพูดสุดท้ายของเขากับวิลเลียมส์เกี่ยวกับภาคต่อของหนังเรื่องนี้ ก่อนที่วิลเลียมส์จะโบยบินจากโลกนี้ไปตลอดกาล
“เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ ตอนนั้นศิลปินยังมีทัศนคติต่อต้านหนังภาคต่อ (ที่มักจะแย่กว่าภาคแรก) อยู่ โรบินจึงต่อต้านการสร้างภาคต่อทันทีหลังจากอ่านบท เขากับผมไม่ได้พูดถึงภาคต่อกันอีกเลย จนถึงปีที่เขาจากไป เรามีบทที่เขียนไว้แล้ว และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอโรบิน ผมไปที่บ้านเขา แล้วเราก็นั่งคุยเรื่องนี้ และบทก็เริ่มแน่นขึ้นมาก”
“สิ่งที่โรบินถามคำถามเดียวก็คือ ‘นี่ลูกพี่ ภาคนี้ผมยังต้องใส่ชุด (คุณนายเดาท์ไฟร์) เยอะ ๆ อีกหรือเปล่า ? ‘ มันเป็นเหตุผลทางด้านร่างกายน่ะครับ สำหรับโรบิน ตอนสวมชุดเดาท์ไฟร์ ผมคิดว่าเขาคงรู้สึกเหมือนกับต้องวิ่งมาราธอนทุกวัน และตอนนี้เขาแก่ลงมาก (กว่าตอนภาคแรก) อย่างเห็นได้ชัด”
“ดังนั้น เรา 2 คนจึงนั่งคุยกันเรื่องนี้ และผมคิดว่า เขาหวังว่าในการเขียนบทภาคใหม่ เราจะตัดตัวละครคุณนายเดาท์ไฟร์ออกไปเลย แต่สุดท้ายแล้วโรบินก็จากไป ดังนั้นจึงไม่มีภาคต่อ ‘Mrs. Doubtfire’ สตูดิโอคงจะสามารถทำอะไรที่พวกเขาต้องการนั่นแหละ แต่มันควรไหมล่ะ ? พระเจ้า อย่าเลยเถอะ ผมจะพูดแบบนี้แน่นอนหากพวกเขายังจะตัดสินใจทำ”
ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน โคลัมบัสเล่าย้อนถึงช่วงเวลาในการถ่ายทำ แม้จะเป็นหนังตลกสุดอบอุ่น แต่เบื้องหลังการแปลงโฉมให้วิลเลียมส์กลายเป็นคุณนายเดาท์ไฟร์ ก็ถือได้ว่าหนักหนาเอาการ “มันใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง หรือประมาณ 5 ชั่วโมงนี่แหละ แต่พอเราถ่ายทำบ่อยขึ้น ก็เร็วขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่ไม่ว่ายังไง เราก็ไม่สามารถถ่ายโรบินที่แต่งเป็นคุณนายเดาท์ไฟร์ติด ๆ กัน 2 วันได้ เพราะเขาต้องตื่นตอนตี 3 เพื่อแต่งหน้า กว่าจะถ่ายทำได้ก็ตอนเช้าประมาณ 08.00 น.”
อีกเบื้องหลังที่โคลัมบัสเล่าถึงนักแสดงผู้ล่วงลับก็คือ ความเป็นนักแสดงที่มีชื่นชอบในการด้นสด จนกลายเป็นที่มาของฟุตเทจปริมาณมหาศาลกว่า 972 กล่อง
“ตอนถ่ายทำช่วงแรก ๆ โรบินบอกผมว่า ‘นี่ลูกพี่ เตรียมพร้อมสำหรับวิธีการทำงานของผมไว้ให้ด้วยนะ เดี๋ยวผมแสดงให้ลูกพี่ไปก่อน 3-4 เทค แล้วที่เหลือก็มาเล่นกัน’ ซึ่งเล่นที่ว่าก็หมายถึงการเล่นนอกบทนั่นแหละ มันเลยทำให้เราต้องถ่ายเก็บเอาไว้ทุกเทค แล้วเขาก็จะเปลี่ยนการแสดงไปทุก ๆ เทค บางทีเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรไว้
“แล้วมันคือยุค 1990 น่ะ คนควบคุมบท (Script Supervisor) ไม่ได้มีอะไรให้พิมพ์ เธอต้องจดสิ่งที่เขาแสดงไว้ด้วยลายมือ แล้วหลังจากนั้นโรบินก็จะเปลี่ยนบทไปอีก หลายครั้งสิ่งที่โรบินแสดงก็แตกต่างจากในบทไปเลยอย่างสิ้นเชิง ซึ่งบางทีเธอ (คนควบคุมบท) ก็ไม่เข้าใจทั้งหมดด้วยซ้ำ”
“มันถึงจุดที่ผมต้องถ่ายหนังด้วยกล้อง 4 ตัวเพื่อให้ตามเขาทัน พวกเราไม่มีใครรู้เลยว่าเขาจะพูดอะไรบ้าง ผมจึงต้องการให้กล้องจับปฏิกิริยาของนักแสดงคนอื่น ๆ ไว้ด้วย ถ้าเป็นทุกวันนี้ (ใช้กล้องดิจิทัล) เราคงถ่ายกันรัว ๆ แต่ตอนนั้นดีหน่อย ตรงที่พอเราถ่ายกันจนฟิล์มหมดคากล้องแล้ว เราถึงมีโอกาสบอกโรบินว่า ‘ฟิล์มหมดแล้วนะ'”
ด้วยการถ่ายเก็บทุกช็อต ทำให้หนังเรื่องนี้มีฟุตเทจจำนวนมหาศาล รวมทั้งหมด 972 กล่อง คิดเป็นความยาว 2 ล้านฟุต หรือประมาณ 610 กิโลเมตร ที่อัดแน่นไปด้วย Outtake ฉากที่ถูกตัด และเบื้องหลังการทำงาน และการแสดงของวิลเลียมส์ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน โคลัมบัสเปิดเผยว่า หากมีโอกาส เขาก็อยากเปลี่ยนฟุตเทจทั้งหมดนี้ให้อยู่ในรูปแบบของหนังสารคดี ที่น่าจะทำให้ผู้ชมได้เห็นภาพจากฟุตเทจเหล่านั้นกันจริง ๆ เสียที
หลังจากหนังเข้าฉายและประสบความสำเร็จงดงาม แม้จะมีความพยายามสร้างภาคต่อ แต่วิลเลียมส์เองก็ปฏิเสธเสมอมา จนกระทั่งในปี 2014 สตูดิโอ 20th Century Fox และโคลัมบัสได้เริ่มเดินหน้าโปรเจกต์ภาคต่อ แต่วิลเลียมส์เองก็ไม่พึงพอใจกับบทนัก จนต้องมีการแก้ไขมาตลอด จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน วิลเลียมส์ก็จากไปอย่างกะทันหัน ทำให้โปรเจกต์นี้จึงต้องถูกพับไปโดยปริยาย
ในบทสัมภาษณ์เดียวกันนี้ โคลัมบัสยังได้เล่าถึงความพิเศษของวิลเลียมส์ นักแสดงผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งเดียวที่เขาตกลงกำกับหนังเรื่องนี้ เพราะวิลเลียมส์เป็นนักแสดงคนโปรดที่เขาตั้งใจว่าอยากร่วมงานด้วยสักครั้ง หลังจากรู้สึกประทับใจในการแสดงของวิลเลียมส์ในหนัง ‘Good Morning, Vietnam’ (1987)
“ผมย้ายมา (ถ่ายหนัง) ที่ซานฟรานซิสโก (ตามคำขอของวิลเลียมส์) ผมมีลูกสาวคนหนึ่ง อายุเท่ากับเซลดา (Zelda Rae Williams) ลูกสาวของโรบิน และพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน ผมมีลูกชายอีกคน อายุเท่ากับโคดี (Cody Alan Williams) ลูกชายของโรบิน ที่เป็นเพื่อนและไปโรงเรียนด้วยกัน เราได้ใช้เวลาทุกสุดสัปดาห์ด้วยกัน ผมอาศัยอยู่ที่ซานฟรานซิสโกมานานกว่า 20 ปี และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมอยากขอบคุณโรบินที่ให้โอกาสกับผมมาจนถึงทุกวันนี้”
“เขาเป็นคนที่น่าทึ่งมาก ๆ ครับ คนที่มีความสามารถหลาย ๆ คนที่ผมเจอในวงการนี้ไม่ได้เป็นคนพิเศษ พวกเขามีพรสวรรค์ แต่พวกเขาก็น่าหงุดหงิด แต่สิ่งที่ทำให้เขาพิเศษนอกจากพรสวรรค์ก็คือ ความจริงที่ว่า ไม่มีใครที่เหมือนเขามาก่อนหน้านี้ และไม่มีใครเหมือน โรบิน วิลเลียมส์ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส