‘Parasite’ (2019) หนังตลกร้ายสัญชาติเกาหลี จากฝีมือผู้กำกับ บงจุนโฮ (Bong Joon-ho) ที่บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวคนจนตกงาน ที่ต้องดิ้นรนแอบแฝงเข้าไปทำงานในบ้านของเศรษฐี ที่นำพาพวกเขาไปพบกับสถานการณ์ตลกร้ายที่ตลกไม่ออก และลงเอยด้วยโศกนาฏกรรมสุดสะเทือนขวัญ ที่สามารถเอาชนะใจคนดูทั่วโลก จนสามารถเดินสายคว้ารางวัลมามากมาย ทั้งจากเวทีลูกโลกทองคำ เวที SAG Awards และรางวัลออสการ์ ที่สามารถคว้ารางวัลมาได้ถึง 4 สาขา ไล่ไปตั้งแต่ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ซึ่งหัวใจของหนังเรื่องนี้ที่กระแทกใจผู้ชมไม่น้อยก็คือ การสะท้อนเรื่องราวของชนชั้นระหว่างคนรวยและคนจนภายใต้ระบบทุนนิยม ที่แม้จะอยู่ภายใต้บริบทเดียวกัน แต่ทุนนิยมกลับทำให้ชีวิตของ 2 ครอบครัวมีความแตกต่างกันอย่างสิ้่นเชิง ที่สะท้อนผ่านเรื่องตลกร้ายที่จุกอกและเจ็บแสบตั้งแต่พล็อตเรื่อง สถานการณ์ และสัญญะต่าง ๆ ที่แฝงเอาไว้ผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น พฤติกรรม สิ่งของ สถานที่ บรรยากาศ หรือแม้แต่มุมกล้อง
ซึ่งผู้กำกับอย่าง บงจุนโฮ ได้เล่าไว้ในการสัมภาษณ์พิเศษ Variety Screening Series (ผ่านเว็บไซต์ Variety) ซึ่งในการสัมภาษณ์ส่วนหนึ่ง เขาได้เปิดเผยว่า ส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่ก่อเกิดเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ มาจากเหตุการณ์จริงในชีวิตของเขาเอง ตอนที่ยังเป็นนักศึกษาเอกวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยยอนเซ (Yonsei University) กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงเวลาที่ประเทศยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของรัฐบาลเผด็จการ ท่ามกลางบรรยากาศการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ท่ามกลางสภาพสังคมและเศรษฐกิจของประชาชนที่เต็มไปด้วยความแร้นแค้น
ในเวลานั้น บงจุนโฮที่ยังเป็นนักศึกษา และไม่ได้มีฐานะร่ำรวย จึงต้องดิ้นรนหาเงินส่งตัวเองเรียน ซึ่งงานที่เขาได้ก็คือ งานสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ให้กับลูกคนรวย ซึ่งจริง ๆ แล้ววิชาคณิตศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นวิชาที่เขาถนัดมากนัก แต่เขาก็ต้องทนทำไปเพื่อหาเงิน ไม่ต่างอะไรกับตัวละคร เจสสิกา (พัคโซดัม – Park So-dam) หรือคุณครูเจสสิกากำมะลอ ที่ปลอมตัวเป็น “เจสสิกา, ลูกคนเดียว, อิลลินอยส์, ชิคาโก, มีรุ่นพี่ชื่อคิมจินโม เขาเป็นญาติของนาย” เพื่อทำทีเข้าไปเป็นครูสอนพิเศษให้กับลูกคนรวยเลยแม้แต่น้อย
“มันเป็นประสบการณ์ตรงของผม ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นมหาวิทยาลัยครับ เพราะว่าผมเคยเป็นครูสอนพิเศษให้กับครอบครัวที่ร่ำรวยมาก แฟนของผมตอนนั้น ที่ตอนนี้ก็คือภรรยา เป็นคนแนะนำงานนี้ให้ผม เธอเป็นคนสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กนักเรียนคนนั้น และเขาเองก็ต้องการครูสอนคณิตศาสตร์ เธอก็เลยแนะนำผมเข้าไป ซึ่งมันคล้ายกับครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้”
“แต่เอาจริง วิชาคณิตศาสตร์ของผมมันแย่มาก ผมเลยถูกเลิกจ้างภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือนหลังจากนั้น และนั่นแหละเป็นสิ่งที่ต่างออกไปจากในหนัง”
และด้วยความที่เขาต้องเข้า ๆ ออก ๆ ในบ้านของคนรวยอยู่บ่อย ๆ ก็เลยทำให้เขาได้มองเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนรวยที่ฟุ้งเฟ้อเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการ เช่น การมีห้องซาวนาส่วนตัวในบ้าน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดประกายให้เขาเองเริ่มรู้สึกและเฝ้าสังเกตความแตกต่างด้านชนชั้น ที่ไม่ได้มีแค่ความแตกต่างทางด้านฐานะ แต่ยังลึกไปถึงเรื่องของแนวคิดที่แตกต่างกันของคนรวยและคนจน และตอนหลัง เขาก็นำเรื่องของการแทรกซึมของคน 2 ชนชั้นมาผูกเป็นเรื่อง และกลายมาเป็นบทร่างแรก หลังจากที่เขากำกับหนัง ‘Snowpiercer’ (2013)
“ผมคิดว่า ตอนนั้นผมเริ่มคิดมากเกี่ยวกับชนชั้น และเรื่องราวของคนรวยและคนจนแล้วล่ะครับ แต่เอาตรง ๆ สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งจริง ๆ ก็คือ ความรู้สึกของการแทรกซึม การมองเข้าไปในครอบครัวของคนรวย ผมคิดว่าทุกคนเองก็คงมีความรู้สึกผิดที่ต้องการอยากจะสอดแนมชีวิตส่วนตัวของคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับคนรวย”
บงจุนโฮเคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ IGN เกี่ยวกับที่มาและแรงบันดาลใจของชื่อหนัง ‘Parasite’ ที่สะท้อนถึงนัยของการแทรกซึม หรือการเข้าไปเป็น ‘ปรสิต’ ของ 2 ครอบครัว 2 ชนชั้นที่แตกต่างกัน
“มันถือว่าค่อนข้างจะเสี่ยงและอันตรายอยู่ครับ โดยเฉพาะทีมการตลาด ที่ค่อนข้างลังเลกับชื่อนี้ เพราะในเกาหลี คำว่า ‘ปรสิต’ มีความหมายที่แรง และถือเป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบ เพราะด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับครอบครัวยากจน ที่แทรกซึมและคืบคลานเข้าไปในบ้านของคนรวย มันสื่อชัดเจนว่า คำว่า ‘ปรสิต’ หมายถึงครอบครัวคนจน”
“ผมคิดว่ามันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ทีมการตลาดมีความลังเลนิดหน่อย แต่หากมองอีกนัยหนึ่ง ก็อาจจะพูดได้ว่า ครอบครัวคนรวยก็ถือเป็นปรสิตในแง่ของแรงงานด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาล้างจานเองไม่ได้ ขับรถเองก็ไม่ได้ พวกเขาจึงดูดเอาแรงงานจากครอบครัวยากจนไป ดังนั้น ทั้งคู่ก็คือปรสิต”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส