ในวันนี้เราอาจจะกล่าวได้ว่า ยุครุ่งเรืองที่สุดของมาร์เวลได้ผ่านพ้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว มาร์เวลเป็นสตูดิโอที่เติบโตอย่างรวดเร็วมากเห็นพัฒนาการที่เด่นชัดในช่วง 3 เฟสแรกของสตูดิโอ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2008 ไปจนถึง 2019 แล้วอาณาจักรมาร์เวลก็พาตัวเองไปถึงความสำเร็จสูงสุดที่มีมูลค่านับพันล้านเหรียญกับ ‘Avengers: Infinity War’ และตามต่อด้วย ‘Avengers: Endgame’ ซึ่งทำรายได้ไปแตะหลัก 2,000 ล้านเหรียญ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา มาร์เวลก็ได้เรียนรู้ถึงรสชาติของความผิดพลาด แม้จะมีหนังคว่ำติดกันหลายเรื่อง แต่ บ็อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) ซีอีโอของดิสนีย์ก็ไม่สนใจที่จะเอ่ยคำขอโทษที่ผลิตหนังภาคต่อออกมามากเกินไป ซึ่งไอเกอร์ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ระหว่างที่มาร่วมงานประชุม ‘DealBook Summit 2023’ ซึ่งจัดโดย New York Times เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2023
“ไม่คิดว่าผมจะต้องเอ่ยคำขอโทษกับการสร้างหนังภาคต่อออกมาหลายเรื่องหรอกนะ เพราะว่าบางคนก็ทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษ และบางเรื่องก็เป็นภาพยนตร์ที่ดีเช่นกัน และผมเชื่อพวกเขามีเหตุผลที่จะต้องทำมันออกมา นอกเหนือจากเรื่องการขายของแล้ว เราก็จำต้องมีเรื่องราวที่ดีด้วย แต่เราก็ทำมันออกมามากมายหลายเรื่องเสียด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดทำแบบนี้หรอกนะ”
แต่ถ้าลองพิจารณาลงลึกไปในเฟส 4 แล้ว จะเห็นว่าหนังที่ทำกำไรได้นั้นเป็นหนังภาคต่อล้วน ๆ นั่นก็คือ ‘Spider-Man: No Way Home’ ทำรายได้ 1,900 ล้านเหรียญ, ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ ทำรายได้ไป 956 ล้านเหรียญ และ ‘Black Panther: Wakanda Forever’ ทำรายได้ไป 859 ล้านเหรียญ ส่วนหนังที่เปิดตัวเป็นภาคแรกอย่าง ‘Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings’, ‘Black Widow’ และ ‘Eternals’ กลับไม่มีเรื่องไหนที่ทำรายได้เกินหลัก 500 ล้านเหรียญเลย
ในช่วงที่มาร์เวลกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดนั้น สตูดิโอได้ปล่อย ‘Captain Marvel’ หนังเดี่ยวภาคแรกของ แครอล แดนเวอร์ส ออกมา รับบทโดย บรี ลาร์สัน (Brie Larson) หนังออกมาฉายคั่นกลางระหว่าง ‘Avengers: Infinity War’ กับ ‘Avengers: Endgame’ และประสบความสำเร็จอย่างมาก หนังทำรายได้ในระดับพันล้านเหรียญ แต่หนังภาคต่อก็ใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าจะออกมาในชื่อ ‘The Marvels’ แล้วมันก็กลายเป็นหายนะทางด้านรายได้ของมาร์เวล ซึ่งในงานประชุมเดียวกันนี้ บ็อบ ไอเกอร์ ก็พูดถึงสาเหตุของความล้มเหลวของ ‘The Marvels’ไว้ว่า
“The Marvels ถ่ายทำในช่วงที่โควิดกำลังแพร่ระบาด จึงไม่มีการกำกับดูแลที่ดีพอในการถ่ายทำ”
ไอเกอร์เองก็ทราบดีถึงปัญหาที่ว่า มาร์เวลผลิตผลงานออกมามากเกินไป ทั้งหนังที่ฉายโรงและซีรีส์ที่สตรีมมิงทาง Disney+ ซึ่งพอผลิตออกมาจำนวนมากเกินไปจึงส่งผลต่อคุณภาพของผลงาน ไม่ว่าจะเป็นเพราะปัญหาจากโควิด หรือการขาดการควบคุมดูแลอย่างจริงจังตามที่ไอเกอร์กล่าวอ้างมาก็ตาม แต่แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทำให้ ‘The Marvels’ กลายเป็นหนังที่ทำเงินได้น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมาร์เวลสตูดิโอ ในขณะที่เขียนอยู่นี้ หนังทำเงินในสหรัฐฯ ไปได้แค่ 77 ล้านเหรียญ และตลาดต่างประเทศที่ 188 ล้านเหรียญ จากต้นทุนสร้างที่อาจจะแตะ 300 ล้านเหรียญ
อาจจะจริงตามที่ไอเกอร์กล่าวอ้างไว้ว่า หนังภาคต่อไม่ใช่ปัญหาของสตูดิโอ นอกเหนือจาก ‘The Marvels’ และ ‘Ant-Man and the Wasp: Quantumania’ 2 เรื่องนี้ที่เป็นหายนะของมาร์เวลแล้ว ก็ยังมี ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังภาคต่อที่ดีมาก มีเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม ขนาดว่าออกมาในยุคที่กระแสหนังซูเปอร์ฮีโรเริ่มอ่อนแรงแล้ว แต่หนังก็ยังทำรายได้ไปถึง 846 ล้านเหรียญ ถ้าไอเกอร์และดิสนีย์ยังต้องการพามาร์เวลกลับสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง อาจจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องนำทีม ‘Avengers’ ยุคดั้งเดิมกลับมารวมกันอีกครั้ง ถึงวันนี้มาร์เวลน่าจะเห็นแล้วว่า สตูดิโอไม่ได้ผลดีอันใดเลย กับการปิดฉากตัวละครอันมีค่าอย่าง โทนี่ สตาร์ก และ สตีฟ โรเจอร์ส ทิ้งไป
ลองจินตนาการกันเล่น ๆ ดูว่าถ้าหนัง ‘Avengers: The Kang Dynasty’ ออกมาในทิศทางแบบว่า กลุ่มอเวนเจอร์สรุ่นใหม่ไม่สามารถกำราบแคงลงได้ พวกเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับวายร้ายทรงอำนาจผู้นี้ ร้อนถึง Iron Man, Captain America คนเก่า, Thor และ Hulk ต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ใน ‘Avengers: Secret Wars’ นี่เท่ากับเป็นการยกระดับหนังขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลย แล้วจะต้องทำให้แฟน ๆ ร้อง ว้าว! ที่ได้เห็น ซูเปอร์ฮีโรรุ่นดั้งเดิมมารวมพลังกับทีมปัจจุบันที่แฟน ๆ ชื่นชอบอย่าง Spider-Man, Doctor Strange, Scarlet Witch, Wolverine และ X-Men เพื่อเอาชนะสงคราม Secret Wars รอติดตามกันต่อไปว่า ข่าวลือที่ เควิน ไฟกี กำลังเรียกทีม Avengers ชุดเก่ากลับมา จะกลายเป็นข่าวจริงหรือไม่
ที่มา : Movieweb