ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังเพลงที่มีชื่อว่า “Kousui” หรือที่แปลเป็นไทยว่า “น้ำหอม” ที่กลายเป็นบทเพลงฮิตติดกระแสไวรัล ได้รับความนิยมใน TikTok มีคนสตรีมฟังมากกว่า 200 ล้านครั้ง ติดอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Japan Hot 100 และอยู่บนชาร์ตนานถึง 27 สัปดาห์ นอกจากนั้นยังได้รับรางวัล MTV Breakthrough Song จาก 2020 MTV Video Music Awards Japan สำหรับความเห็นที่มีต่อเพลงนี้บ้างก็ว่าเพลงนี้มีความเรียบง่าย ฟังสบายจับใจด้วยท่วงทำนองอะคูสติกกีตาร์และเสียงร้องซื่อ ๆ พาเพลิน มีเนื้อเพลงที่เอ่ยชื่อแบรนด์น้ำหอมแบบเต็ม ๆ และเนื้อร้องที่บรรยายช่วงฉากในชีวิตที่เห็นภาพได้อารมณ์ แถมยังมี MV ที่มินิมอลมาก ๆ ก็เลยอาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าเพลงนี้มันช่างเซอร์และน่า ‘แซว’ เหลือเกิน อีกทั้งต่อมาก็ยังมีเพลงนี้ในเวอร์ชันภาษาไทยปล่อยออกมาอีกต่างหาก แถมยังร้องภาษาไทยโดยศิลปินหนุ่มคนนี้ที่ไม่ได้พูดไทยแต่กำเนิดและเพิ่งเคยเรียนภาษาไทยมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทำให้หลายคนบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง

นั่นทำให้ เอโตะ (Eito) หรือ เอโตะ ทาคาฮาชิ (Eito Takahashi) ศิลปินหนุ่มจากแดนอาทิตย์อุทัยเจ้าของบทเพลง “Kousui” หรือ “น้ำหอม” คนนี้ ยิ่งเป็นศิลปินคนหนึ่งที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีก ทั้งความมุ่งมั่นตั้งใจและความจริงใจที่ถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลง ความพยายามที่จะทำให้แฟน ๆ ชาวไทยได้ประทับใจในบทเพลงของเขา จากบทเพลงแรกที่เป็นไวรัล ตอนนี้เอโตะมีผลงานอัลบั้มออกมา 2 ชุดแล้วคือ “Sukkarakan” (2021) และ “1 Or 8” (2022) และเพิ่งปล่อยมินิอัลบั้ม “らんちゅう” (รันชู – เป็นชื่อพันธุ์ของปลาทองฉายา ‘ราชาแห่งปลาทอง) ออกมาเมื่อไม่นานนี้ และมีซิงเกิลจากอัลบั้มในชื่อเดียวกันคือ “らんちゅう” ซึ่งเป็นเพลงเพราะ ๆ ฟังสบายสไตล์เอโตะที่ฟังแล้วก็เพลินไม่น้อยเลย

นับเป็นโอกาสดีที่โอโตะได้มาที่ประเทศไทย ทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับศิลปินหนุ่มคนนี้ถึงบทเพลง “Kousui” (น้ำหอม) ที่เป็นไวรัล เจาะลึกในแง่มุมต่าง ๆ ที่เราอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะทำให้เราได้รู้จักกับเขาดียิ่งขึ้น ลองมาทำความรู้จักกับเขาดูแล้วจะรู้ว่าศิลปินหนุ่มคนนี้มีอะไรที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย

มาไทยคราวนี้มีโปรเจกต์อะไร ทำไมถึงมา

เอโตะ : ครั้งนี้เป็นแคมเปญที่ญี่ปุ่นในการโปรโมตเพลง “Kousui” (น้ำหอม) ในเวอร์ชันภาษาไทย ก็จะมีการพาแฟนเพลงผู้โชคดีมาเที่ยวที่ประเทศไทยครับ ก็จะมีการเลือกผู้โชคดีโดยการให้ใส่ hashtag follow และแชร์เพลง แล้วเราก็จะจับฉลากผู้โชคดีกันครับ แล้วเราก็เลยพาแฟน ๆ มาเที่ยวที่ประเทศไทยกันครับ

กิจกรรมที่แฟน ๆ จะได้ทำในไทยมีอะไรบ้าง

เอโตะ : เราก็จะเที่ยวในกรุงเทพ ฯ กัน แล้วก็ทานอาหารร่วมกันครับ

เรามาคุยกันถึงเพลงที่แฟน ๆ ชาวไทยน่าจะรู้จักกันดี เพราะว่าเคยเป็นไวรัลแถมตอนนี้ก็มีเวอร์ชันภาษาไทยด้วย นั่นก็คือเพลง “Kousui” หรือว่า “น้ำหอม” อยากรู้ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้แต่งเพลงนี้

เอโตะ : แรงบันดาลใจของเพลงนี้อย่างแรกเลยมันเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่มีต่อแฟนเก่าที่เลิกกันไปครับ ตอนแรกที่เราเลิกกันมันก็สบายใจดีนะครับ ได้กลับมาเป็นโสด ได้อิสระ แต่ว่าพอเวลามันผ่านไปเป็นปี ก็เริ่มย้อนกลับมาคิดแล้วครับว่าเราทำอะไรลงไป ก็เริ่มคิดถึงแฟนเก่าขึ้นมา แล้วในเนื้อเพลงจะมีการกล่าวถึงน้ำหอม โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่า (Dolce & Gabbana) ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มาจากแฟนของผมหรอกครับ แต่มันมาจากเจ้าของร้านที่ผมทำงานอยู่ เขาฝากน้ำหอม โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่า ไว้กับผม แล้วผมก็ลืมเอาคืนให้กับเขา ต่อมาผมก็พกเอาน้ำหอมนี้ไปที่ห้องอัดด้วย ผมก็นั่งเล่นกีตาร์ฮัมเพลงไปเรื่อย อัดเพลงไปเรื่อย แล้วก็เอาน้ำหอมมาดมดูปรากฏว่ามันหอมดีนะครับ ก็เลยแต่งเนื้อเพลงที่ใส่ชื่อน้ำหอมนี้ลงไปในท่อนฮุกของเพลง แล้วปรากฏว่ามันเข้าท่าดีก็เลยเอาความคิดถึงที่มีต่อแฟนเก่ามาผสมกับน้ำหอมซะเลย มันก็เลยกลายเป็นแบบนี้เลยครับ

เลยกลายเป็นจุดขายของเพลงเลย เพราะส่วนหนึ่งที่คนชอบพูดถึงเพลงนี้ก็คือความที่เอาชื่อแบรนด์น้ำหอมใส่ลงไปตรง ๆ เลยนี่แหละ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมถึงใส่ชื่อแบรนด์ไปตรง ๆ เลย

เอโตะ : ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ (หัวเราะ) แค่ตอนนั้นมันไปกับเมโลดี้ได้พอดีเลยครับ แบบมันฟังแล้วติดหูดีด้วยครับ

ทีนี้มาที่ MV ซึ่งหลายคนบอกว่ามันดูบ้าน ๆ  เรียบง่าย ๆ ดี มีคนมาเต้น ๆ อยากรู้ว่ามีไอเดียยังไง

เอโตะ : MV ตัวนี้ผมได้เพื่อน ๆ ได้รุ่นพี่มาช่วยทำให้ครับ ทุกคนที่อยู่เบื้องหลังและที่ปรากฏใน MV นี่เป็นพี่ ๆ  น้อง ๆ คนรู้จักกันหมดเลย คนที่เป็นผู้กำกับและตากล้องก็เป็นรุ่นพี่ครับ ส่วนคนที่เต้นก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันครับ คือตอนที่ผมทำเพลงนี้เสร็จก่อนจะปล่อย ผมก็ให้เพื่อน ๆ ได้ลองฟังกันดู ปรากฏว่าเพื่อนคนที่เต้นนี่ฟังแล้วถูกใจมาก ถูกใจจนแบบคิดท่าเต้นมาให้เสร็จสรรพเลย พอผมทำ MV ก็เลยชวนเพื่อนคนนี้มาเต้นครับ

ด้วยความที่งานเรามันมีความแตกต่างแบบนี้ พอเพลงปล่อยออกมาก็มีกระแสพูดถึงแตกต่างกันไป บ้างก็ชื่นชม บ้างก็แซว อยากรู้ว่าเอโตะคิดยังไงเกี่ยวกับกระแสของเพลงเรา

เอโตะ : รู้สึกดีใจครับที่มีคนมาคอมเมนต์ ทำให้ผมรู้สึกว่าการที่มีคนพูดถึงเพลงเราดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แสดงว่าเพลงเรามันไปถึงคนฟังแล้ว ส่วนคอมเมนต์ที่ไม่ดีผมก็รับฟังไว้ครับ แล้วผมก็เอามาปรับปรุงงานของตัวเองให้ดีขึ้น ก็รู้สึกขอบคุณเขาครับ ที่เขาได้ฟังเพลงของผมแล้วช่วยคอมเมนต์ให้ แค่ฟังเพลงของผมไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็รู้สึกดีใจแล้วครับ

อยากรู้ว่าแฟนเก่ารู้ไหมว่าเพลงนี้เราแต่งถึงเขา แล้วหลังจากนั้นความสัมพันธ์เป็นยังไงบ้าง

เอโตะ : เขารู้ครับ ๆ ว่าผมแต่งเพลงนี้ถึงเขา ถึงแม้ผมจะไม่ได้บอกเขา แต่เขาก็สามารถรู้ได้จากเนื้อเพลงที่ผมเขียนเพราะมันเป็นรายละเอียดของช่วงเวลาที่เรามีร่วมกัน เขาก็มีโทรมาหยอก ๆ ว่าให้ส่งเงินให้บ้าง (หัวเราะ) แบบว่า “นี่มันเพลงเกี่ยวกับชั้นนะ” ผมก็บอกเขาไปว่า​ “ไม่ได้นะ เพราะเธอแต่งงานแล้วนะ” คือแฟนเก่าผมเขาก็แต่งงานไปแล้วครับ แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันครับ ก็รู้สึกขอบคุณเขามากครับที่ทำให้เกิดเพลงนี้ขึ้นมา (หัวเราะ)

เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ปล่อยมา พอปล่อยก็เป็นกระแสเลย อยากรู้ว่าเพลงนี้มันเปลี่ยนชีวิตเอโตะไปยังบ้าง

เอโตะ : ตอนแรกไม่ได้คิดเลยครับว่าจะเป็นกระแสขนาดนี้ คิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้ทำให้ผมมั่นใจว่าผมสามารถที่จะไปต่อได้ในฐานะคนทำเพลง ส่วนชีวิตของผมอาจจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็ยังไม่รู้ได้ครับ เพราะผมคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้น และความเปลี่ยนแปลงคงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ครับ

เพลงนี้มีเวอร์ชันไทยด้วย แต่งเนื้อร้องโดย แสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) ทำไมแสตมป์ถึงมาแต่งเนื้อร้องภาษาไทยของเพลงนี้ให้ และเนื้อร้องภาษาไทยถอดความมาจากภาษาญี่ปุ่นเลยไหม

เอโตะ : ค่ายเพลง AVEX (เอเว็กซ์) ที่ผมสังกัดอยู่ เป็นค่ายเพลงเดียวกันกับที่ดูแลผลงานของคุณแสตมป์เวลาเผยแพร่ที่ญี่ปุ่นครับ ทีนี้ทางค่ายก็เลยแนะนำให้รู้จักกันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดเพลงในเวอร์ชันภาษาไทยครับ ผมก็ขอให้คุณแสตมป์แต่งให้เหมือนเนื้อเพลงต้นฉบับให้มากที่สุดครับ

แล้วจะมีงานที่ทำร่วมกันไหม

เอโตะ : อยากทำงานร่วมกันกับคุณแสตมป์ครับ ก็หวังว่าสักวันหนึ่งก็อาจจะมีโปรเจกต์อะไรที่ได้ทำร่วมกันครับ

เห็นว่าตอนนี้เอโตะกำลังเรียนภาษาไทยอยู่

เอโตะ : ใช่ครับ ที่เรียนภาษาไทยเพราะว่าผมมีความสนใจในภาษาไทยอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นสักที จนเมื่อธันวาคมปีก่อนผมได้รับเชิญให้มาเล่นดนตรีที่งานเทศกาลญี่ปุ่นที่ศรีราชา ก็เลยคิดว่าจะทำยังไงให้คนที่เมืองไทยรู้สึกประทับใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาทำงานต่างประเทศ และเป็นประเทศที่ผมสนใจด้วยครับ ก็เลยเรียนภาษาไทยและทำเพลง​ “Kousui” เวอร์ชันไทยออกมา  ผมก็พยายามเต็มที่เลยครับ ภาษาไทยยากมาก ๆ (หัวเราะ) รู้เลยว่าก็ยังมีบางท่อนที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง (เอโตะร้องโชว์เพลงนี้ในเวอร์ชันภาษาไทย) หลังจากที่ปล่อยเพลงนี้ในเวอร์ชันไทยออกมา ผมก็เห็นนะครับว่ามีคอมเมนต์บอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง ผมก็เลยให้เพื่อนคนไทยที่อยู่ญี่ปุ่นช่วยสอนเพิ่มเติมให้ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 ชั่วโมงครับ พอเพื่อนผมเริ่มบอกว่าผมร้องชัดขึ้นแล้ว เขาก็เลยโทรหาเพื่อนที่ไทยให้ช่วยลองฟังหน่อย ซึ่งเพื่อนที่ไทยทั้ง 5 คนที่ช่วยฟังบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยครับว่าฟังออกแค่ 15-20% ผมก็เลยช็อกมากครับ (หัวเราะ) ทั้งที่พยายามมากแล้ว แต่ภาษาไทยออกเสียงยากจริง ๆ ครับ แต่ผมก็จะพยายามต่อไปและจะออกเวอร์ชันที่ผมร้องดีกว่านี้ออกมาให้ได้ฟังกันนะครับ

เอโตะเริ่มรู้ตัวว่าชอบดนตรีและอยากทำเพลงของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่

เอโตะ : ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กประถมแล้วครับ ส่วนตัวเป็นคนชอบร้องคาราโอเกะ คุณลุงก็ชอบดีดกีตาร์ให้ฟัง พอคริสมาสต์ก็ซื้อเครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นซีดีมาให้ ผมก็เลยเป็นคนชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยครับ

แล้วมาเริ่มแต่งเพลงเองเมื่อไหร่

เอโตะ : ตั้งแต่ประมาณอายุ 20 และเพลง “Kousui” นี่ก็เป็นเพลงแรกที่แต่งเลยครับ

เอโตะมีใครเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลง

เอโตะ : แจ็ค จอห์นสัน (Jack Johnson) ครับ ผมชอบคิดถึงภาพของ แจ็ค จอห์นสัน เวลาแสดงสดต่อหน้าแฟน ๆ ครับ ก็จะเกิดแรงบันดาลใจให้อยากทำเพลงทุกครั้งเลยครับ

เอโตะนิยามเพลงในแบบของตัวเองยังไง

เอโตะ : ผมแต่งเพลงด้วยความรู้สึกที่เกิดจากการใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ และใช้ความรู้สึกของการใช้ชีวิตตอนนั้นมาทำเป็นเพลงขึ้นมาครับ เป็นเพลงที่เกิดจากการใช้อารมณ์และความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้น ณ จุด ๆ นั้นครับ

วิธีการแต่งเพลงของเอโตะ

เอโตะ : ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการด้นสดออกมาครับ จะไม่ได้เตรียมตัวขึ้นมาก่อน ก็จะหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นและอัดเสียงเอาไว้ ดีดไปเรื่อย ๆ แล้วทำนองเนื้อเพลงก็จะออกมาเอง ใช้ความรู้สึก ณ ตอนนั้น สิ่งที่มองเห็น ณ ตอนนั้น ปกติจะใช้กีตาร์อะคูสติกธรรมดา แต่เวลามาเที่ยวก็จะใช้มินิกีตาร์ที่พกพาง่ายในการแต่งเพลงระหว่างเดินทาง

มาไทยคราวนี้ได้แต่งเพลงไว้ไหม

(เอโตะบรรเลงเพลงที่เพิ่งแต่งสด ๆ ให้เราฟัง เป็นเพลงที่แต่งระหว่างที่เดินทางมาไทย)

เอโตะ : เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งตอนมาไทยคราวนี้ครับ แต่งตอนที่เพื่อนผมกำลังสักอยู่ แล้วผมก็รอเพื่อนอยู่ประมาณ 2 ชม.เลยมีเวลาแต่งเพลงไปเรื่อย ก็นั่งเล่นไปจนได้ทำนองออกมาประมาณนี้ครับ ส่วนเนื้อร้องก็ยังไม่สมบูรณ์เป็นแบบฮัม ๆ ไปก่อนครับ (หัวเราะ) แล้วเดี๋ยวผมจะเอาไปเกลาให้เป็นเพลงสมบูรณ์อีกที

แล้วถ้าจะแต่งเนื้อเพลงให้กับเพลงนี้ เนื้อเพลงจะเกี่ยวกับอะไร

เอโตะ : คิดว่าน่าจะเป็นเพลงกล่อมเด็กครับ เพราะตอนที่ผมแต่งนั้น ผมกำลังนั่งดูดอกไม้ แล้วเห็นเต่ามันเดินมา 3 ตัวพอดี ตอนนั้นผมก็เลยนึกถึงลูกของผมครับ ก็เลยตั้งใจอยากจะแต่งเพลงให้กับลูก เป็นเพลง Lullaby มันก็จะเป็นเพลงที่บรรยายความสวยงามในสีของดอกไม้ เนื้อเพลงก็จะเหมือนบอกกับลูกว่าให้โตขึ้นมาเป็นสีอะไรก็ได้ที่อยากจะเป็น คือต้องการจะสื่อว่าให้เขาเป็นตัวของตัวเองครับ

มีโปรเจกต์อะไรที่กำลังทำอยู่และตั้งเป้าหมายในอนาคตไว้ยังไงบ้าง

เอโตะ : ก็มีมินิอัลบั้มชุดใหม่ครับชื่อว่า “らんちゅう” (รันชู) ก็เป็นเพลงใหม่ทั้งหมด 6 เพลงในสไตล์ฟังสบาย ๆ แบบของผมนะครับ ก็อยากให้แฟน ๆ ได้ลองฟังกันดูครับ

มีอะไรอยากบอกกับแฟน ๆ ชาวไทยบ้าง

เอโตะ : “สวัสดีครับ ผมชื่อเอโตะ” (พูดไทย) อยากบอกแฟนชาวไทยทุกคนว่าตอนนี้ผมกำลังตั้งใจเรียนภาษาไทยครับ อยากร้องเพลงภาษาไทยให้ถูกต้อง อยากให้แฟน ๆ คนไทยช่วยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ “ขอบคุณครับ”

ขอขอบคุณร้าน Payaq Gallery Cafe & Bar (พยัคฆ์ แกลเลอรี คาเฟ่ แอนด์ บาร์) เอื้อเฟื้อสถานที่

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส