หลังจากที่รับตำแหน่งซีอีโอร่วมของ DC Studios เพื่อวางแผนพัฒนาแฟรนไชส์ DCU (DC Universe) มาได้ราว 1 ปีแล้วนั้น ล่าสุด เจมส์ กันน์ (James Gunn) ได้ออกมาอธิบายถึงเหตุผลที่แฟรนไชส์ DCEU (DC Extended Universe) ก่อนหน้านี้ของ Warner Bros. ประสบความล้มเหลว
“โปรเจกต์ต่าง ๆ ของ DCEU ขาดการสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกัน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์นี้ไม่ประสบความสำเร็จ และนั่นคือสิ่งที่เรามุ่งมั่นทำให้แก่แฟรนไชส์ DCU ใหม่นี้ เนื้อหาในรูปแบบแอนิเมชันและวิดีโอเกมทั้งหมดจะอยู่ใน DCU ด้วย”
“ผมเคยกล่าวว่า ซีรีส์และภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะอยู่ใน DCU แต่จะมีส่วนหนึ่งที่เดินเรื่องในทิศทางของตนเองในจักรวาล Elseworld ยกตัวอย่างเช่น ‘The Batman’ (2022) ของ แมตต์ รีฟส์ (Matt Reeves) ที่เป็นข้อยกเว้น”
“ผมไม่เคยพูดถึงบริการสตรีมมิงเลยก็จริง แต่ผมอยากให้ผู้คนเข้ามาชมเรื่องราวใหม่ ๆ ของ DC มากขึ้น”
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ ไม่มีผู้บริหารที่สามารถวางแผนให้เหตุการณ์สำคัญในภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีความเกี่ยวโยงกันได้จริง ๆ ซึ่งทำให้ DCEU ขาดความต่อเนื่อง ต่างจาก MCU ที่ เควิน ไฟกี (Kevin Feige) คอยดูแลการพัฒนาทุกโปรเจกต์เพื่อให้นำไปสู่เหตุการณ์สุดยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์ ‘Avengers’ หลายเรื่องอย่างได้ผลและน่าเชื่อถือ
DCEU เป็นแฟรนไชส์ที่ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) วางแผนสร้างจักรวาลซูเปอร์ฮีโรที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ MCU (Marvel Cinematic Universe) ซึ่งเริ่มต้นด้วย ‘Man of Steel’ (2013) ที่กำกับโดยสไนเดอร์ แต่ด้วยความที่สตูดิโอ Warner Bros. เร่งรัดให้เกิดการรวมทีม Justice League เร็วเกินไป ก็ทำให้เกิดช่องว่างที่ไม่สมเหตุสมผลหลายประการ ในขณะที่ภาพยนตร์ฉายเดียวหลายเรื่องใน DCEU ดูจะได้รับคำชมมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ‘Birds of Prey’ (2020) และ ‘The Suicide Squad’ (2021) เป็นต้น
กันน์และปีเตอร์ ซาฟราน (Peter Safran) ยืนยันว่าได้วางแผนพัฒนาแฟรนไชส์ DCU ไว้ระยะราว 8 – 10 ปี โดยจะแบ่งช่วงสำคัญขออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ซึ่งส่วนแรกที่เรียกว่า Chapter One: Gods and Monsters’ นั้น จะเปิดหัวด้วย ‘Superman: Legacy’ ของกันน์ในปี 2025 ตามด้วย ‘The Brave and the Bold’ ของ แอนดี มัสเชียตติ (Andy Muschietti) และ ‘Swamp Ting’ ของ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold)
ที่มา : ScreenRant
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส