หลังจากที่รอคอยมาเนิ่นนาน ในที่สุด ‘A Child of Fire’ หรือ ‘บุตรแห่งเปลวไฟ’ ภาคแรกของ ‘Rebel Moon’ หนังมหากาพย์ไซไฟอวกาศ จากวิสัยทัศน์ของ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ก็ได้ฤกษ์เข้าฉายทาง Netflix แล้วเป็นที่เรียบร้อย ส่วนภาค 2 ‘The Scargiver’ หรือ ‘นักรบผู้ตีตรา’ นั้นมีโปรแกรมจะเข้าฉายวันที่ 19 เมษายน 2024 อีกที ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่า นี่คือผลงานออริจินัลที่เกือบจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ‘Star Wars’ มาแล้ว ซึ่งถ้าใครที่ได้ชมภาคแรกแล้ว ก็จะพอเห็นร่องรอยอิทธิพลจาก Star Wars อยู่พอสมควร
แต่นอกจากเนื้อเรื่อง ก็ยังมีนักแสดงคนหนึ่งจากหนังเรื่องนี้ ที่เกือบได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลสงครามอวกาศในตำนานด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ ชาร์ลี ฮันแนม (Charlie Hunnam) นักแสดงชาวสหราชอาณาจักรที่กลายเป็นที่รู้จักจากการร่วมแสดงในหนัง ‘Pacific Rim’ (2013) และ ‘Crimson Peak’ (2015) โดยใน ‘Rebel Moon’ ฮันแนมรับบทเป็น ไค (Kai) นักบินและทหารรับจ้างผู้เป็นส่วนหนึ่งในขบวนการกบฏที่ต่อสู้กับเหล่าทรราชย์แห่งดาวมาเธอร์เวิลด์ (Motherworld) ที่ชวนให้นึกถึง ฮาน โซโล (Han Solo) ใน ‘Star Wars’ อยู่เหมือนกัน
ล่าสุด ในการสัมภาษณ์เพื่อโปรโมตหนังเรื่องนี้กับเว็บไซต์ Entertainment Tonight ฮันแนมได้เปิดเผยและยืนยันว่า เขาเองเกือบจะได้รับบทเป็น อนาคิน สกายวอล์กเกอร์ (Anakin Skywalker) เจไดหนุ่มที่โดนด้านมืดครอบงำ และกลายมาเป็น ดาร์ธ เวเดอร์ (Darth Vader) ในไตรภาคต้น (Prequel Trilogy) ของจักรวาล Star Wars
“ผมเองก็ลืมเรื่องนี้เหมือนกัน ใช่ ผมลืมไปเลย รู้ไหม ผมมาถึงขั้นที่ผมได้คุยกับ จอร์จ ลูคัส (George Lucas) แล้วนะ ซึ่ง… ผมไม่คิดว่าเขาจะนัดเจอนักแสดงทุกคนหรอก ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังพิจารณานักแสดง 2-3 คนอยู่ ผมเองก็จำเรื่องนี้ไม่ค่อยได้แล้ว”
แต่ดูเหมือนว่าฮันแนมเองจะไม่มีเลือดของเจไดจริง ๆ หลังจากที่เขาเข้าพบและพูดคุยกับผู้สร้างในตำนานด้วยความรู้สึกอึดอัดที่เกิดจากความประหม่า เขาเองคิดว่าคงไม่น่าจะได้รับบทบาทนี้แล้วแน่นอน ก่อนที่บทบาทนั้นจะกลายมาเป็นบทบาทสร้างชื่อของ เฮย์เดน คริสเตนเซน (Hayden Christensen) ในเวลาต่อมา
“ผมจำได้ว่าผมเองรู้สึกกังวล และรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ผมจำได้แค่ว่าตอนนั้นผมเดินออกมาและคิดว่า ‘ฉันคงไม่ได้รับบทนั้นแน่นอนเลย’ และผมก็คิดถูก คือบางครั้งมันก็เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเหมือนกันนะ”
คริสเตนเซน ปรากฏตัวในบทบาท อนาคิน สกายวอล์กเกอร์วัยหนุ่ม ในไตรภาคต้นของ Star Wars ตั้งแต่ ‘Star Wars: Episode II – Attack of the Clones’ (2002) และ ‘Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith’ (2005) ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างมาก ก่อนจะกลับมารับบทเดิมอีกครั้งในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ ในซีรีส์สปินออฟของ Disney +ทั้ง ‘Obi-Wan Kenobi’ (2022) และ ‘Ahsoka’ (2023) ก่อนที่อนาคินจะเปลี่ยนเข้าสู่ด้านมืด และกลายเป็น ดาร์ธ เวเดอร์ ในไตรภาคเดิม (Star Wars Trilogy) ต่อไป
โดยก่อนที่คริสเตนเซนจะได้รับบทบาทนี้ เคยมีนักแสดงชายหลายคนที่เคยถูกวางตัวให้มารับบทนี้มากมาย อาทิ ไรอัน ฟิลิปเป (Ryan Phillippe), พอล วอล์กเกอร์ (Paul Walker), คริสเตียน เบล (Christian Bale), ฮีธ เล็ดเจอร์ (Heath Ledger), เดวอน ซาวา (Devon Sawa) หรือแม้แต่พระเอกเบอร์ 1 ของฮอลลีวูดเวลานั้นอย่าง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ก็ถูกวางตัวให้รับบทนี้เช่นกัน และดิแคพรีโอก็เป็นเพียงนักแสดงไม่กี่คนที่ได้ร่วมเจรจาบทบาทกับลูคัส ก่อนที่จะปฏิเสธบทบาทนี้ในภายหลัง
แม้จะไม่ได้เข้าร่วมจักรวาล Star Wars แต่เขาเองก็ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหนัง ‘Rebel Moon’ ที่สไนเดอร์ตั้งใจว่าจะสร้างให้เป็นจักรวาลขึ้นมา เขาได้เปิดเผยความรู้สึกในการรับบทเป็น ไค ทหารรับจ้างผู้ออกเดินทางไปสู้รบกับกองทัพทรราชย์ที่ได้รับการว่าจ้างจาก โครา (โซเฟีย บูเตลลา – Sofia Boutella) อดีตแม่ทัพหญิงของกองทัพแห่งมาเธอร์เวิลด์ ว่า
“การได้โอกาสรับบทบาทในหนังของสไนเดอร์เป็นอะไรที่สนุกจริง ๆ ครับ และเราทุกคนต้องอ่านบท และมันก็ชัดเจนว่า นี่เป็นโปรเจกต์ที่มีความหลงไหลลุกโชน เต็มไปด้วยรายละเอียด และความรักจำนวนมาก ทั้งที่เราทุกคนเพิ่งอ่านบท ก่อนที่เราจะมีโอกาสได้คุยกับแซ็กด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมมองหาในตัวคนทำหนัง ผมต้องการใครสักคนที่ หนึ่ง รู้ดีว่าพวกเขาต้องการทำอะไร และ สอง ใส่ใจกับมันจริง ๆ “
“กุญแจสำคัญในการแสดงของผมคือ การให้ไคมีเส้นทางของตัวเอง เป็นครั้งแรกในอาชีพของผม ที่ผมรู้สึกเหมือนถูกครอบครอง มันรู้สึกเหมือนกับว่าผมไม่ต้องทำอะไรเลยจริง ๆ ผมคิดว่าผมเพิ่งรู้ว่าเขาต้องการทำอะไร และผมก็แค่แบบว่า ‘ฉันจะไม่ขวางทางนายนะเพื่อน ผมจะทำแบบนั้น และจะพยายามไม่ให้โดนปลดออกจากบท'”
ที่มา: Entertainment Tonight, Variety
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส