ในบรรดาความดีงามของ ‘Killers of the Flower Moon’ หนังมหากาพย์ฆาตกรรมอิงจากประวัติศาสตร์จริงของชนพื้นเมืองสหรัฐอเมริกา ผลงานแห่งปีของผู้กำกับชั้นครู มาร์ติน สกอร์เซซี (Matin Scorsese) นอกจากจะถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ และตีแผ่สันดานความชั่วร้ายของมนุษย์ออกมาได้อย่างทรงพลังแล้ว ส่วนที่ดีของหนังเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้นบรรดานักแสดง
หนึ่งในนั้นก็คือ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ที่รับบทเป็น เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต อดีตทหารผ่านศึกที่มีส่วนในเหตุฆาตกรรมบรรดาเศรษฐีบ่อน้ำมันชาวโอเสจ ที่ได้รับคำชมว่าสามารถถ่ายทอดความกดดันของมือสังหารได้อย่างทรงพลังจนได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ ถึงขนาดที่สื่อหลายหัวต่างเก็งกันว่าดิแคพรีโออาจได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีประจำปี 2024 สักเวทีแน่นอน
แต่อย่างที่ทราบกันว่า แต่เดิมสกอร์เซซีเขียนบทเพื่อนำเสนอในมุมมองของเจ้าหน้าที่ FBI ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสืบหาต้นตอฆาตกร ก่อนที่ตัวเขาและดิแคพรีโอจะเห็นตรงกันในการเปลี่ยนบทเพื่อหันมานำเสนอมุมมองเทา ๆ ของเออร์เนสต์ ความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อภรรยา มอลลี ไคล (ลิลลี แกลดสโตน – Lily Gladstone) ด้ว และความเกรงกลัวในอิทธิพลของ วิลเลียม เฮล (โรเบิร์ต เดอนีโร – Robert de Niro) ลุงของเขาแทน
แม้หลายคนจะชอบการแสดงของดิแคพรีโอในบทบาทนี้ แต่ก็ยังมีอีกคนที่ขอโต้แย้งคำชมนี้ด้วยเหตุผลในมุมที่ต่างออกไป นั่นก็คือ พอล ชเรเดอร์ (Paul Schrader) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของสกอร์เซซีมาเนิ่นนาน เป็นผู้เขียนบทหนัง ‘Taxi Driver’ (1976) รวมทั้ง ‘Raging Bull’ (1980), ‘The Last Temptation of Christ’ (1988), และ ‘Bringing Out the Dead’ (1999) รวมทั้งยังเป็นผู้กำกับหนังดังอีกหลายเรื่อง ทั้ง ‘American Gigolo’ (1980) และ ‘Cat People’ (1982) และเคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาบทดั้งเดิมยอดเยี่ยมจาก ‘First Reformed’ (2017) ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Le Monde ของฝรั่งเศส
ชเรเดอร์มองต่างตรงที่ว่า เขาอยากจะให้ดิแคพรีโอกลับไปรับบท FBI ตามบทเดิม น่าจะดีกว่า เพราะเขามองว่า ตัวละครของดิแคพรีโอ ที่มีกิริยาท่าทางแปลก ๆ และดูไม่ค่อยมีไหวพริบ หรือที่เขาใช้คำว่าเป็น ‘คนโง่’ นั้น เป็นจุดสนใจของหนังมากเกินไปสำหรับความยาวหนังถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง
“มาร์ตี้มักจะเปรียบเทียบผมกับนักวาดภาพจิ๋วชาวเฟลมิช ส่วนเขาก็คงเป็นคนวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคเรอเนซองส์อะไรแบบนี้ คือถ้าให้เงิน 200 ล้านเหรียญกับเขา ยังไงหนังมันก็ออกมาดี แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากให้ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ รับบทเป็นตำรวจใน ‘Killers of the Flower Moon’ มากกว่าจะเป็นคนโง่แบบนั้น การใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่งร่วมกับคนโง่นั้นช่างยาวนานนัก”
เดิมที สกอร์เซซีใช้เวลากว่า 2 ปีในการดัดแปลงหนังสือ ‘Killers of the Flower Moon: The Osage Murders and the Birth of the FBI’ ให้กลายเป็นหนัง โดยยึดมุมมองจากฝั่งตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐแบบเดียวกับหนังสือ และวางให้ดิแคพรีโอมารับบทเป็น ทอม ไวต์ เจ้าหน้าที่ FBI จากวอชิงตัน ดีซี ที่ถูกส่งมาไขคดีปริศนาฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับชาวโอเสจหลายราย
จนกระทั่งดิแคพรีโอได้แนะนำให้เขา และมือเขียนบทร่วม อีริก รอธ (Eric Roth) ปรับมุมมองจากฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ เปลี่ยนมาเล่าผ่านมุมมองของคนในรัฐโอคลาโฮมา ซึ่งมีเออร์เนสต์ ชายหนุ่มผู้ยืนตรงกลางระหว่างความรักของเขากับภรรยา และผลประโยชน์ในบ่อน้ำมันมูลค่ามหาศาลจนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาเป็นตัวละครหลัก และเปลี่ยนให้ เจสซี พลีมอนส์ (Jesse Plemons) มารับบทเป็นเจ้าหน้าที่ ทอม ไวต์ แทน
ซึ่งในที่สุด สิ่งที่ชเรเดอร์มองต่างจากความคิดเห็นของผู้ชมและนักวิจารณ์ส่วนใหญ่จะถูกต้องหรือไม่ ก็คงต้องวัดกันที่การตัดสินรางวัลในหลากหลายเวทีที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 นี้ ซึ่งล่าสุด ดิแคพรีโอก็ได้ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลนักแสดงภาพยนตร์ชายยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า รางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 81 ประจำปี 2024 แล้วเป็นที่เรียบร้อย และถ้าหากไม่พลิกโผ ก็น่าจะมีอีกหลายรางวัลตามมา
ดิแคพรีโอเคยกล่าวถึงการดัดแปลงบทหนังเรื่องนี้กับ British Vogue ว่า “ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่เราเข้าถึงหัวใจของมันน่ะครับ เรายังไม่ได้ลงลึกเข้าไปในเรื่องราวของชาวโอเสจเท่าไหร่ มีฉากแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างมอลลี กับเออร์เนสต์ที่กระตุกอารมณ์ตอนที่อ่านจากหนังสือเท่านั้นเอง ก่อนที่เราจะเจาะลึกไปพบว่าจริง ๆ แล้วความสัมพันธ์เหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่ เพราะมันทั้งบิดเบี้ยวและแปลกประหลาดสุด ๆ ไม่เหมือนกับอะไรที่ผมเคยเจอมาก่อน”
ที่มา: Variety
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส