โจดี ฟอสเตอร์ (Jodie Foster) นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ค้างฟ้าอีกคนที่โด่งดังช่วงยุค 80s-90s มีผลงานการแสดงดัง ๆ เป็นของตัวเองมาตั้งแต่ยังไม่ทันวัยรุ่น และยังเป็นเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากผลงานการแสดงใน ‘The Accused’ (1989) และ ‘The Silence of the Lambs’ (1992) และผลงานล่าสุดของเธอก็คือ ร่วมแสดงหนังดราม่ากีฬาว่ายน้ำ ‘Nyad’ ของ Netflix ที่ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงภาพยนตร์สมทบหญิงยอดเยี่ยม บนเวทีลูกโลกทองคำ

ล่าสุด หลังจากที่ฟอสเตอร์เพิ่งออกโรงวิจารณ์หนังซูเปอร์ฮีโรไปหยก ๆ ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ The Guardian ซึ่งฟอสเตอร์ได้เล่าประสบการณ์ของเธอเองในการทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะคน Generation Z หรือ Gen Z หรือคนที่เกิดหลังจากปี 1995 จนถึงช่วงประมาณปี 2009 เป็นต้นมา ซึ่งด้วยความที่คนในยุคนี้มีความแตกต่างจากคนยุคก่อนหน้าแบบชนิดที่เรียกว่าคนละเรื่อง

Jodie Foster

เพราะว่า Gen Z เป็นรุ่นของคนที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีรอบตัวเลย ในขณะที่คนในยุคก่อนหน้าเชื่อในการทุ่มเทการทำงานแบบถวายหัว แต่คน Gen Z นั้นสามารถนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน และเพื่อแบ่งเวลาการทำงานและการพักผ่อน รวมทั้งมีแนวคิดในการทำงานที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจ และไม่จำเป็นต้องทำงานหนักหรือฝืนอดทนทำในสิ่งที่ไม่ถนัดหรือไม่ชอบตลอดเวลา ซึ่งหลายครั้งนั่นก็ทำให้มุมมองของคนทำงานรุ่นใหญ่ ที่แตกต่างออกไปจากคนทำงานรุ่นใหม่

ซึ่งฟอสเตอร์เองเล่าแบบติดตลกว่า เธอเองก็ไม่ต่างจากคนทำงานรุ่นใหญ่คนอื่น ๆ เช่นกัน ที่บางครั้งเธอเองก็รู้สึกว่า ในการทำงาน Gen Z นั้นก็มีสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจ และบางทีก็น่ารำคาญเล็ก ๆ เมื่อต้องทำงานร่วมกัน

“พวกเขาน่ารำคาญจริง ๆ นะคะ โดยเฉพาะในที่ทำงาน พวกเขาจะแบบว่า ‘ไม่อะ วันนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์ เดี๋ยวฉันเข้างานตอน 10.30 น. นะ’ หรือในอีเมล ฉันจะคอยบอกพวกเขาว่า สิ่งที่เขาเขียนมามันผิดหลักไวยากรณ์น่ะ นี่พวกคุณไม่ได้ตรวจทานตัวสะกดมาก่อนเหรอ ? แล้วพวกเขาก็จะพูดว่า ‘ก็แล้วจะตรวจทำไม ไม่เห็นจะต้องเคร่งครัดอะไรขนาดนั้นเลยนี่นา'”

แน่นอนว่าฟอสเตอร์เองครั้งหนึ่งก็เคยเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะเธอเองเริ่มต้นอาชีพนักแสดงมาตั้งแต่วัยเด็ก และมีผลงานการแสดงในหนังของ Disney หลายเรื่องมาตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบ อาทิ ‘Napoleon and Samantha’ (1972) และต้นฉบับหนังสลับร่าง ‘Freaky Friday’ (1976)

ในปีเดียวกัน เธอยังก้าวกระโดดมารับบทดราม่าหนักหน่วง ด้วยการรับบทเป็นโสเภณีเด็กแสดงร่วมกับ โรเบิร์ต เดอนีโร (Robert De Niro) ในหนัง ‘Taxi Driver’ (1976) ของผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี (Matin Scorsese) ที่ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ก่อนที่เธอจะคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงจากเวทีเดียวกัน 2 ครั้ง ก่อนที่เธอจะอายุครบ 30 ปีเสียอีก

Jodie Foster Bella Ramsey

ฟอสเตอร์ยังได้เล่าถึงประสบการณ์ของเธอที่ไม่ใช่แค่บ่นคนทำงานรุ่นใหม่ แต่เธอยังแสดงความชื่นชมยกย่องถึงนักแสดงรุ่นหลานคนรุ่นใหม่ด้วย นั่นก็คือ (Bella Ramsey) นักแสดงนำจากซีรีส์ดัง ‘The Last of Us’ และ ‘Game of Thrones’ ที่เคยเปิดเผยตัวเองว่าเป็น Non-Binary (ไม่เจาะจงเพศ) ซึ่งทั้งคู่เคยพบกันในงาน Elle magazine Women in Hollywood ในเดือนพฤศจิกายน

“ฉันเจอกับเบลลา เพราะเราไม่เคยพบกันมาก่อนค่ะ แล้วฉันบอกกับเธอว่า ‘ฉันอยากให้เธอให้คำแนะนำสิ่งนี้กับฉันบ้างนะ'” ซึ่งฟอสเตอร์กล่าวชื่นชมเธอว่าเป็นตัวอย่างที่เหมาะควร เพราะเธอเป็นคนที่แต่งตัวได้ดี สวมสูทที่ตัดอย่างสมบูรณ์แบบ ไว้ผมแสกกลาง และไม่แต่งหน้าใด ๆ ในขณะที่ผู้เข้าร่วมงานล้วนแต่สวมใส่รองเท้าส้นสูง ติดขนตาปลอมกันทั้งนั้น

ในช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ ฟอสเตอร์ยังได้ให้คำแนะนำในฐานะนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ผ่านงานมายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ แก่บรรดาคนหนุ่มสาวในวงการนี้ไว้แบบสั้น ๆ

“พวกเขาต้องเรียนรู้ในวิธีการคลายเครียด วิธีการในการไม่คิดมาก วิธีการคิดสร้างสิ่งที่เป็นของพวกเขาเอง ฉันช่วยพวกเขาในเรื่องนั้นได้ ซึ่งฉันว่ามันคงสนุกกว่าการคอยเป็นตัวเอกของเรื่อง และมีแรงกดดันตามมาทีหลัง”


ที่มา: The Guardians

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส