ผลงานล่าสุดของผู้กำกับอัง ลี ที่ออกผลงานมาแต่ละครั้งต้องมีอะไรให้เซอร์ไพรซ์วงการ หลังจากเว้นช่วงไป 4 ปีตั้งแต่ Life Of Pi ที่สร้างความตื่นตะลึงในวงการภาพยนตร์ด้วยภาพเสือซีจีเสมือนจริงมาก รอบนี้ อัง ลี ก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการทดลองถ่ายทำด้วยความละเอียดถึง 120 เฟรม/วินาที โดดจากมาตรฐานหนังทั่วไปที่ถ่ายทำกันด้วยความละเอียด 24 เฟรม/วินาที ปีเตอร์ แจ๊คสัน เคยลองถ่ายทำ The Hobbit: An Unexpected Journeyที่ 48 เฟรม/วินาที ละเอียดแล้วได้อะไร? ก็ได้ความคมชัดสมจริงมากขึ้น เจมส์ คาเมรอน เคยกล่าวไว้ว่ามาตรฐานหนังในอนาคตจะปรับขึ้นไปเป็น 48-60 เฟรม/วินาที “ถ้าเราดูหนัง 3D แล้วเหมือนเราได้มองภาพผ่านหน้าต่างบ้านออกไป แต่ด้วยหนังที่ความละเอียดนี้ก็เหมือนถอดกระจกหน้าต่างออกไปด้วย แล้วเราจ้องออกไปที่ภาพเสมือนจริง”

billy-lynns-long-halftime-walk-vin-diesel-ang-lee

ด้วยความที่ อัง ลี แม้เป็นผู้กำกับชาวไต้หวัน แต่ก็สั่งสมชื่อเสียงบารมีไว้ในฮอลลีวู้ดมานาน ไม่ว่าจะจับงานเรื่องไหนก็มีดาราอยากร่วมงานกันทั้งนั้น เรื่องนี้แม้เป็นหนังฟอร์มเล็ก แต่ก็มีดารามาร่วมงานมากหน้าหลายตาทั้ง วิน ดีเซล ก็โผล่มาแจมในบทเล็ก ๆ , คริสเต็น สจ๊วต ที่หลังจากแฟรนไชส์ทไวไลท์ ก็เลือกหนังดราม่าเน้นโชว์ฝีมือมากขึ้น เพราะอยากจะพิสูจน์ให้วงการเห็นว่าเธอมีฝีมือพอตัว เรื่องนี้ก็เลยเล่นแบบไม่เน้นสวย , สตีฟ มาร์ติน และคริส ทัคเกอร์ สองดาราตลกที่ห่างหายจากจอภาพยนตร์ไปนานมากก็เลือกกลับมาในเรื่องนี้

161108_mov_long-halftime-walk-jpg-crop-promo-xlarge2

billy lynn เป็นหนังที่ อัง ลี เลือกหยิบมาจากนิยายขายดีของ เบน ฟาวเทน ติดอันดับนิวยอร์คไทม์ เบสต์เซลเลอร์ ออกจำหน่ายเมื่อปี 2012 แล้วให้ ฌอง คริสทอฟ คาสเตลลี หนึ่งในทีมงานของอัง ลี ประเดิมผลงานดัดแปลงบทภาพยนตร์เป็นครั้งแรก จัดเป็นหนังในกลุ่มล่ารางวัล ไม่หวังกำไร ไม่เน้นความบันเทิง เนื้อหาหนักหนาพอดู เรื่องของ บิลลี่ ลินน์ ที่ได้ดาราหน้าใหม่ โจ อัลวิน ประเดิมงานแสดงเป็นเรื่องแรก บิลลี่ เป็นทหารในทีมบราโว่ที่มีกันทั้งหมด 8 คน ทั้งทีมกลับจากอิรักในฐานะวีรบุรุษสงครามในปี 2004 โดยเฉพาะบิลลี่ เขาสร้างวีรกรรมกล้าหาญด้วยการเสี่ยงชีวิตฝ่าดงกระสุนออกไปช่วย จ่าชรูม หัวหน้าหน่วยที่พลาดท่าโดนยิงแล้วกำลังโดนข้าศึกลากตัวไป บิลลี่ ออกไปดวลปืนและต่อสู้มือเปล่าชิงตัวจ่าชรูมไว้ได้ หนังใช้เวลาเกือบทั้งหมดในสนามกีฬาวันแข่งขันซูเปอร์โบล์ว ที่ทีมบราโว่ได้รับเกียรติไปโชว์ตัวในช่วงพักครึ่งการแข่งขัน หนังลงลึกเรื่องความรู้สึกของบิลลี่ ในช่วงเวลาหลายชั่วโมงในสนามกีฬาที่เขาเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ นานา ตัดสลับกับฟุตเตจสั้น ๆ ในอิรัก บิลลี่รู้สึกสับสน เกิดการต่อสู้ภายในจิตใจตัวเอง เขาตั้งคำถามกับตัวเองและคนรอบข้างว่าเขาสมควรแล้วหรือที่ได้รับการเชิดชูเยี่ยงนี้ หนังถ่ายทอดให้เราเห็นความรักใคร่ผูกพันระหว่างเพื่อนในทีมบราโว่ และวางคนอเมริกัน
รอบ ๆ ตัวไว้ในฐานะตัวร้ายของเรื่อง ที่มาในรูปแบบต่าง ๆ นานา มีทั้งล้อเลียนพวกเขาด้วยถ้อยคำดูถูก นายทุนที่หวังผลประโยชน์จากเขาด้วยค่าตอบแทนน้อยนิด ทำให้บิลลี่ สองจิตสองใจว่าจะกลับไปอิรักกับเพื่อน ๆ หรือจะอยู่ที่เท็กซัสต่อกับครอบครัว ที่มีพี่สาวที่ทั้งเขาและเธอต่างผูกพันห่วงใยกันมาก และเชียร์ลีดเดอร์สาวเซ็กซี่ที่บิลลี่และเธอต่างมีใจพิศวาทต่อกันตั้งแต่แรกพบ เป็นเพียง 2 สิ่งที่เหนี่ยวรั้งให้บิลลี่ใคร่ครวญไว้ได้ในวันที่เขาไม่รู้สึกว่าอเมริกาคือบ้านที่อบอุ่นของเขาอีกต่อไป คำพูดที่แรงที่สุดคือตอนที่ จ่าไดม์บอกกับบิลลี่ว่า “เรากลับบ้านกันเถอะ” บ้านของ จ่าไดม์ กลับหมายถึงอิรัก สมรภูมิที่พวกเขารู้สึกว่าอบอุ่นใจและเป็นที่ของพวกเขา

cird8eaxiaahbie

ในด้านสาระข้อคิดนี่อัดมาเต็ม ให้เราได้มองเห็นโลกผ่านสายตาของบิลลี่ ตัวแทนของทหารผ่านศึกคนหนึ่งที่ต้องเผชิญโลกที่ดูจอมปลอม แต่ในด้านภาษาหนังเป็นหนังนี่ยากกับการที่จะมีสติเกาะไปกับหนังได้ตลอด เพราะหนังเล่าเรื่องราวแบบราบเรียบตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 50 นาที ไม่มีจุดวิกฤตในเรื่องราว ไม่มีจุดหมายปลายทางว่าเรื่องจะดำเนินไปจุดไหน และไม่มีไคลแมกซ์ เป็นหนังสร้างขึ้นมาโดยที่ไม่หวังผลทางด้านรายได้เลย หนังใช้ทุนสร้างไป 40 ล้านเหรียญ ก็แน่นอนละ ครับ ฉายมาแล้ว 2 สัปดาห์ ได้เงินกลับมาแค่ครึ่งทาง แต่สุดท้ายคงไม่เจ็บตัวหรอก อย่งน้อยก็ไปได้ทุนคืนตอนฉายออนไลน์อีกรอบ

vi2tln3mby5355_3_hd

ฉะนั้นอะไรคือจุดที่ควรดูหนังเรื่องนี้ กลุ่มคนที่ชื่นชอบหนังดราม่าเนื้อหาหนักให้สาระข้อคิด กลุ่มคนที่ชอบหนังที่สร้างจากนิยายขายดี และแฟน ๆ ที่ชื่นชอบศรัทธาในฝีมืออัง ลี , แฟน ๆ ของคริสเต็น สจ๊วต ที่ควรมาช่วยสนับสนุนเธอกับหนังที่เธอเน้นโชว์ฝีมือ และสำคัญสุดคือมาร่วมกันพิสูจน์ว่าหนังที่ถ่ายด้วยความละเอียด 120 เฟรม/วินาที เนี่ยมันคมชัดขนาดไหน แต่สำหรับผม ผมดูไม่ออกจริง ๆ นะ มันพ้นขีดความสามารถของสายตามนุษย์ในการแยกแยะไปแล้ว แต่ถ้าพ้นจากข้อควรดูทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น Billy Lynn’s Long Halftime Walk ก็คือ “หนังที่ชวนง่วงมาก”

Play video