ปี 2023 ที่ผ่านมา มีหนังที่ประสบความสำเร็จตอนเข้าฉายมากมาย และก็มีหนังหลายเรื่องที่ประสบความล้มเหลวด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์ หรือทั้งคู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ‘Expend4bles’ (2023) หรือ ‘The Expendables 4’ ภาคต่อหนังแอ็กชัน ‘โคตรคนทีมมหากาฬ’ ที่หวังจะกลับมาสานต่อแฟรนไชส์หนังบู๊ระห่ำ ที่รวมดาราแอ็กชันสตาร์เอาไว้มากที่สุด แต่ด้วยปัญหาหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวหนัง ก็เลยทำให้การกลับมาครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าล้มไม่เป็นท่า ทำรายได้ทั่วโลก และคะแนนคำวิจารณ์น้อยที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์
ดอล์ฟ ลันด์เกรน (Dolph Lundgren) นักแสดงสายแอ็กชันชาวสวีเดน ที่มีผลงานการแสดง ตั้งแต่หนังมวย ‘Rocky IV’ (1985) รับบทเป็น “คิงเนเรอัส” จากหนังซูเปอร์ฮีโร ‘Aquaman’ ทั้ง 2 ภาค ที่ตอนนี้เขากำลังมีผลงานล่าสุดคือ ‘Wanted Man’ ที่เขากำกับและร่วมแสดงกับ เคลซี แกรมเมอร์ (Kelsey Grammer) และร่วมแสดงในบทบาท กันเนอร์ เจนเซน สมาชิกทีมทหารรับจ้าง Expendables ได้แจกแจงแบบตรงไปตรงมาในการสัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Screen Rant ถึงสาเหตุที่ทำให้ ‘Expendables’ ล้มเหลว และอาจกลายเป็นหายนะที่ทำลายแฟรนไชส์ในอนาคตได้
“ผมไม่ได้อ่านบทวิจารณ์หรอก เพราะผมรู้ว่าพวกเขาจะพูดอะไร โปรเจกต์นั้นมันมีปัญหามาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ และมักจะเริ่มต้นด้วยบท จริง ๆ บทมันยังไม่ค่อยดี คือผมไม่ได้เป็นตัวแสดงนำน่ะนะ มันเลยเป็นเรื่องยากที่ผมจะลงลึกปัญหาพวกนั้นได้ แต่ผมรู้ว่า ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เขาแค่มาแสดงเฉย ๆ ตอนที่เขารับผิดชอบ บทมันจะออกมาค่อนข้างดี คุณภาพจะไม่ตกต่ำลงขนาดนั้น แต่พอเขาเองไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ผมเลยคิดว่าปัญหามันอยู่ที่บท รวมทั้งผู้กำกับ ที่ถูกเปลี่ยนตัวก่อนเริ่มถ่ายทำแค่ประมาณ 1 เดือน”
“ด้วยปัญหาทั้ง 2 อย่างนี้ มันก็เลยยากที่จะทำหนังดี ๆ ออกมา และผมคิดว่า 2 ภาคแรกที่เป็นต้นฉบับ มันเกี่ยวกับความเป็นทีมและการร่วมมือกัน แล้วก็มี ฟิฟตีเซนต์ (50 Cent) ที่ก็เก่งมาก และ เมแกน ฟ็อกซ์ (Megan Fox) ที่ต่างก็เป็นทรัพย์สินที่ดีของหนัง ซึ่งในที่สุดมันก็หายไป ผมเลยเสียใจที่มันออกมาแบบนั้น”
“นอกจากนี้ การที่หนังเปิดตัวระหว่างการประท้วง ซึ่งมันไม่ค่อยจะฉลาดนัก ดังนั้น พวกเขา (ทีมนักแสดง) เลยไม่สามารถออกไปประชาสัมพันธ์อะไรได้เลย ถ้าได้ฉายในรอบพรีเมียร์ที่มีดาราดังมาร่วมงานมากมาย ทั้งเมแกน, 50 Cent, สตอลโลน, เจสัน สเตแธม (Jason Statham), แอนดี การ์เซีย (Andy García) รวมทั้งตัวผมด้วย คงมีคนจับตาดูมากกว่านี้ และผมมั่นใจว่ามันจะออกมาดีกว่านี้ สุดท้ายมันก็ออกมาดูแย่มากเกินไป ซึ่งผมเองผิดหวังมาก ๆ “
หายนะของแฟรนไชส์นี้น่าจะเริ่มมาตั้งแต่ ‘The Expendables 3’ (2014) ที่ทำรายได้ไม่เป็นไปตามคาด แถมยังโดนแฟน ๆ สับเละ ด้วยความที่ตัวหนังปรับความรุนแรงของเนื้อหาลงจากเรต R ใน 2 ภาคแรกลง จนเหลือเรต PG-13 เพราะต้องการจะขยายตลาดให้กว้างขึ้น ทำให้สีสันความห่ามจาก 2 ภาคแรก ทั้งคำหยาบคาย และบรรดาฉากฆ่าแกงรุนแรงเลือดสาดที่ถูกอกถูกใจแฟนเดนตายถูกลดลงไปพอสมควร
เดือนพฤศจิกายน 2014 มีการประกาศเป็นครั้งแรกว่า ว่าโปรเจกต์ภาค 4 ของแฟรนไชส์นี้กำลังจะเดินหน้าพัฒนาอย่างแน่นอน ท่ามกลางความกลัวของแฟน ๆ ที่ต่างก็ระแวงว่าจะออกมาแป้กเหมือนภาค 3 จนทำให้ทีมสร้างต้องออกมายืนยันไว้ล่วงหน้าว่าภาคนี้จะกลับไปห่ามระห่ำติดเรต R เหมือนเดิมแน่นอน
แต่วิกฤติไม่ได้มีแค่นั้น เพราะสตอลโลน พี่ใหญ่ผู้ปลุกปั้นแฟรนไชส์นี้ ทั้งเป็นผู้กำกับภาคแรก (The Expendables, 2010) ร่วมเขียนบท 3 ภาค และนักแสดงผู้รับบทเป็น บาร์นีย์ รอส หัวหน้าทีม Expendables กลับประกาศถอนตัวออกจากโปรเจกต์ เนื่องจากปัญหาความแตกต่างด้านความคิดในเรื่องของบทและทิศทางของแฟรนไชส์ ส่วนตัวละครคู่หูคู่กัดของบาร์นีย์อย่าง เทรนช์ เมาเซอร์ ที่แสดงโดย อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ก็ไม่กลับมาในภาค 4 นี้ด้วยเช่นกัน
แต่ด้วยเสียงเรียกร้องจากบรรดาทีมนักแสดง สุดท้ายก็ทำให้สตอลโลนยอมใจอ่อนกลับมาร่วมแฟรนไชส์ แต่การรีเทิร์นครั้งนี้ เป็นการกลับมาในฐานะนักแสดงสมทบเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้มีบทบาทในฐานะทีมงานเบื้องหลัง ปล่อยให้แอ็กชันสตาร์รุ่นน้องอย่างสเตแธมรับหน้าที่โปรดิวเซอร์ไปแทน นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง ตั้งแต่ผลพวงจากโรคระบาด รวมทั้งการเปลี่ยนตัวผู้กำกับ จาก แพทริค ฮิวส์ (Patrick Hughes) ผู้กำกับ ‘The Expendables 3’ (2014) เป็น สก็อต วอกห์ (Scott Waugh) อย่างกะทันหันก่อนการถ่ายทำไม่นาน
ตามที่ลันด์เกรนได้อธิบายไว้ข้างต้น ทั้งการขาดการมีส่วนร่วมของสตอลโลน การขาดนักแสดงดาวเด่นของแฟรนไชส์ที่หายไปจากภาคนี้ รวมทั้งการขาดความต่อเนื่อง เพราะตัวหนังภาคนี้ห่างหายจากภาค 3 ไปนานนับทศวรรษ และการเปลี่ยนตัวผู้กำกับ ไล่เรียงไปถึงบทภาพยนตร์สูตรสำเร็จที่ขาดความสดใหม่ไปแล้วสำหรับยุคนี้ แถมมีแฟรนไชส์หนังแอ็กชันที่สดใหม่มาแรงกว่าอย่าง ‘John Wick’ และแฟรนไชส์อื่น ๆ ที่ดาหน้าเข้ามาแย่งสายตา แย่งเงินจากกระเป๋าคนดูในโรงหนัง ส่วนหนังแฟรนไชส์สูตรสำเร็จแบบเดิม ๆ เก็บไว้รอดูเพลิน ๆ ตอนลงสตรีมมิงแล้วก็ได้
รวมทั้งผลพวงจากการประท้วงของสมาชิก SAG – AFTRA ที่ทำให้นักแสดงไม่สามารถเดินสายโปรโมตหนังได้ตามปกติ จึงทำให้ตอนฉายหนังเรื่องนี้จึงมาแบบผิดจังหวะอย่างแรง ทำรายได้ทั่วโลกได้เพียงแค่ 46 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ และทำคะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้เพียง 14% ซึ่งเป็นรายได้และคำวิจารณ์ที่ต่ำที่สุดของแฟรนไชส์ และพลอยทำให้อนาคตของแฟรนไชส์นี้ยิ่งอันตรายหนัก
จนทำให้ตอนนี้ทั้งโปรเจกต์ภาคต่อ ‘The Expendables 5’ รวมทั้งภาคแยกทีมมหากาฬหญิงล้วน และสปินออฟของตัวละคร ลี คริสต์มาส คู่หูของ บาร์นีย์ รอสส์ ที่รับบทโดยสเตแธม ก็เงียบงันจนเดาไม่ออกว่าจะได้ไปต่อ หรือจะพอแค่นี้กันแน่
วอกห์ผู้กำกับภาคนี้ได้เคยพูดถึงเกี่ยวกับการกลับมาของสตอลโลน หัวใจสำคัญของแฟรนไชส์ ที่ครั้งนี้อาจเป็นการปรากฏตัวครั้งสุดท้าย รวมทั้งการเข้ามารับหน้าที่โปรดิวเซอร์ของสเตแธม ที่ถือว่าเป็นการเติมสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา
“สตอลโลนยังทำให้ผมประหลาดใจในความสามารถทางร่างกายในวัยของเขา มันไม่น่าเชื่อเลย ผมเอง 53 แล้วยังจะแย่ แต่เขาอายุ 70 ปลาย ๆ แล้วยังทำได้อยู่ แต่ผมคิดว่าสำหรับสไล เขาอยู่ในจังหวะที่เวลามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา การใช้เวลาเต็มที่กับ ‘The Expendables’ เป็นอะไรที่กินเวลาชีวิตเขามาก ซึ่งผมเคารพในสิ่งนั้นอย่างมาก”
“ผมคิดว่าการที่สตอลโลนส่งต่อให้สเตแธมเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น เจสันอายุเท่าผม และยังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องไปอีกนาน ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้น ผมไม่คิดว่าสไลจะออกจากแฟรนไชส์นี้แน่ ๆ ผมคิดว่าเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของมันตลอดไป ในฐานะผู้เริ่มต้น ‘The Expendables’ และเป็นผู้กำกับต้นฉบับ สำหรับผม มันจึงเป็นการถ่ายเลือดเก่าผสมเข้าด้วยกันกับเลือดใหม่”
ในขณะที่อนาคตของแฟรนไชส์ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ซึ่งในสายตาของลันด์เกรน การขาดสตอลโลนถือเป็นหนึ่งในสาเหตุการเจ๊งยับของหนังอย่างมีนัยสำคัญ เพราะฉะนั้น หากยังจะมีการสร้าง ‘The Expendables 5’ ในภายภาคหน้า เขาเองก็ยังคงยินดีจะกลับมาร่วมแสดง แต่ด้วยเงื่อนไขเดียว
“ใช่ ถ้าสไลกลับมารับผิดชอบต่อนะ ผมคิดว่าเขากำลังทำงานในเวอร์ชันของเขาเองในภาคต่อ ๆ ไปร่วมกับคนเหล่านี้ ซึ่งถ้าเขากลับมามีส่วนร่วมจริง ๆ ผมเองก็มั่นใจว่า การทำงานนี้คงเป็นอะไรที่น่าจะสนุก”
ที่มา: Screen Rant, Screen Rant (2), CBR
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส