โจดี ฟอสเตอร์ (Jodie Foster) นักแสดงสาวค้างฟ้าที่มีผลงานดัง ๆ ในยุค 80s-90s ที่มีผลงานการแสดงมากมายมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และยังการันตีฝีมือด้วยการเป็นเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากผลงานการแสดงใน ‘The Accused’ (1989) และ ‘The Silence of the Lambs’ (1992)
แม้ตอนนี้ฟอสเตอร์อายุจะเข้า 61 กะรัตแล้ว แต่เธอเองก็ยังคงมีผลงานการแสดงให้ได้ติดตามกันอยู่เรื่อย ๆ ทั้งการรับบทเป็นตำรวจสืบสวนที่ต้องรับหน้าที่สืบสวนการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยในทวีปอาร์กติก ในซีรีส์ ‘True Detective: Night Country’ ของทาง HBO และผลงานสด ๆ ร้อน ๆ ก็คือการรับบทในหนังดราม่ากีฬาว่ายน้ำ ‘Nyad’ ของ Netflix ที่ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงภาพยนตร์สมทบหญิงยอดเยี่ยม บนเวทีลูกโลกทองคำ
ล่าสุด ในการให้สัมภาษณ์กับ จิมมี ฟอลลอน (Jimmy Fallon) ในรายการ ‘The Tonight Show Starring Jimmy Fallon’ เธเองได้เปิดเผยเรื่องราวที่แฟน ๆ ของจักรวาลหนังสงครามอวกาศอาจไม่เคยรู้ นั่นก็คือ เธอเองเคยได้รับการเสนอบทบาทให้รับบทเป็น เจ้าหญิงเลอา ออร์กานา (Leia Organa) ในไตรภาคเดิม (Star Wars Trilogy) ของจักรวาล ‘Star Wars’ แต่ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง ทำให้เธอไม่สามารถรับบทนี้ได้ ก่อนที่บทบาทนี้จะตกเป็นของ แคร์รี ฟิชเชอร์ (Carrie Fisher) ผู้ล่วงลับแทน
ฟอลลอน: “…ที่ผ่านมาคุณได้รับบทบาทที่โดดเด่นมากมาย แล้วทุกคนก็ชอบในสิ่งที่คุณทำมากครับ แต่ผมเห็นอันนี้มาจากในอินเทอร์เน็ต คุณเคยได้รับการเสนอบทบาทเจ้าหญิงเลอาใน ‘Star Wars’ อันนี้จริงไหมครับ ? “
ฟอสเตอร์: “ใช่ค่ะ ฉันนี่แหละ พอดีพวกเขากำลังตามหาเจ้าหญิงเลอาที่อายุน้อยกว่า แต่ฉันเองกำลังวุ่นวาย เพราะฉันกำลังแสดงหนังของ Disney อยู่ และฉันก็ไม่อยากจะถอนตัวจากหนังของ Disney เรื่องนั้น เพราะว่าฉันเซ็นสัญญาไปแล้ว”
การตัดสินใจครั้งนั้น ส่งผลให้ฟอสเตอร์ ได้รับบทนำเป็น เคซี บราวน์ เด็กกำพร้าที่ถูกเลือกให้ค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในคฤหาสน์ในหนังตลกผจญภัยสำหรับเด็กของ Disney เรื่อง ‘Candleshoe’ (1977) ซึ่งตอนนั้นเธอเพิ่งมีอายุประมาณ 13-14 ปี จนกระทั่ง ‘Star Wars: Episode IV – A New Hope’ (1977) ที่กำกับโดย จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ออกฉาย ฟอสเตอร์ก็เพิ่งอายุครบ 15 ปี และหนังเรื่องนี้ก็สร้างปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมไปอย่างสิ้นเชิง
ฟอสเตอร์เล่าเสริมว่า “คุณรู้ไหมว่า พวกเขาทำงานได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ เลยนะ ฉันไม่รู้ว่าถ้าเป็นฉันจะทำได้ดีขนาดไหน ฉันอาจจะมีทรงผมทรงอื่นก็ได้ ถ้าเกิดเป็นฉัน มันอาจจะออกมาไม่เป็นสับปะรดเลยก็ได้นะ”
อย่างที่ทราบว่า ในที่สุด บทบาท เจ้าหญิงเลอา ออร์กานา (Leia Organa) บุตรสาวของ ดาร์ธ เวเดอร์ (Darth Vader) และ ราชินี แพดเม่ อมิดาลา (Padmé Amidala) ก็ตกเป็นของฟิชเชอร์ ในไตรภาคเดิม เจ้าหญิงเลอา เป็นเจ้าหญิงของดาวอัลเดอราน และเป็นสมาชิกวุฒิสภาของจักรวรรดิ ก่อนที่เธอจะเป็นผู้นำในการโค่นล้มจักรวรรดิกาแล็กติกผู้ชั่วร้าย
ฟิชเชอร์ สร้างชื่อเสียงและภาพจำจากการรับบทนี้มาอย่างยาวนาน กลายมาเป็นคนรักของ ฮาน โซโล (Han Solo) ก่อนจะกลายมาเป็น นายพลเลอา ผู้นำแห่งขบวนการฝ่ายต่อต้าน และเป็นแม่แท้ ๆ ของ เบน โซโล (ฺBen Solo) หรือ ไคโล เรน (Kylo Ren) ใน ไตรภาคต่อ (Sequel Trilogy) ของจักรวาล ‘Star Wars
ทีมงานเคยมีตัวเลือกนักแสดงวัยสาวมากมายที่จะมารับบทนี้เช่นกัน ทั้ง ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ (Sigourney Weaver), เอมี เออร์วิง (Amy Irving) รวมทั้ง เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) และฟอสเตอร์ จนสุดท้ายบทบาทเจ้าหญิงเลอา ก็ตกเป็นของฟิชเชอร์ ที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น
หลังจากสร้างชื่อจากการรับบทเจ้าหญิงเลอา ฟิชเชอร์เองมีผลงานอีกหลากหลายด้าน ทั้งยังคงมีผลงานการแสดงในอีกหลายบทบาท รวมทั้งการเป็น Script Doctor หรือคนขัดเกลาบท เขียนไดอะล็อกให้หนังดัง ๆ หลายเรื่อง ‘Hook’ (1991), ‘Sister Act’ (1992), ‘The Wedding Singer’ (1998), ‘Coyote Ugly’ (2000) รวมทั้งใน Star Wars ภาคต่าง ๆ รวมทั้งเป็นนักเขียนที่มีผลงานเป็นนวนิยาย และหนังสือชีวประวัติของตัวเองออกมาอีกหลายเล่ม หนึ่งในนั้นก็คือ ‘Postcards from the Edge’ ที่ถูกนำไปสร้างเป็นหนังในปี 1990
ฟิชเชอร์เสียชีวิตกะทันหันจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ระหว่างการโดยสารเครื่องบิน United Airline เที่ยวบินจากลอนดอน มายังลอสแองเจลิส ในปี 2016 ปรากฏตัวในบทบาท นายพล เลอา ออร์กานา ครั้งสุดท้ายใน ‘Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker’ (2019) โดยเป็นการนำฟุตเทจที่ถ่ายไว้ก่อนเสียชีวิต และที่ไม่ได้ใช้จาก ‘Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi’ (2017) มาใช้
เรื่องราวที่ฟอสเตอร์เกือบได้รับบทเจ้าหญิงเลอา ก็ไปเข้าหูนักแสดงผู้รับบทตัวจริงอย่างฟิชเชอร์เหมือนกัน เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับเว็บไซต์ The Daily Beast ตั้งแต่การพยายามเอาชนะสตรีปในการแย่งชิงบทเจ้าหญิงเลอามาได้ ซึ่งต่อมา สตรีปจะได้รับบทนำในหนังตลกดราม่า ‘Postcards from the Edge’ (1990) ที่ฟิชเชอร์ดัดแปลงบทมาจากผลงานหนังสือของตัวเองแบบขำ ๆ ว่า
“ไร้สาระน่า! ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเลย” (หัวเราะ) “…แต่ โจดี ฟอสเตอร์เองก็เหมาะสมดีนะ หรือคนที่ฉันรู้จัก ทั้งโจดี และ เอมี เออร์วิง จนที่สุดฉันก็ได้บทนี้มา”
ที่มา: Variety, Deadline, The Daily Beast
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส