แม้ ณ ตอนนี้ สถานการณ์ของแฟรนไชส์แอ็กชันซิ่งรถสุดโม้ ‘Fast & Furious’ จะถือว่าไม่ค่อยไปในทิศทางที่สวยงามหนัก หลังจากที่ปฐมบทปิดฉากภาคสุดท้ายอย่าง ‘Fast X’ (2023) ที่เข้าฉายไปเมื่อปีที่แล้ว ที่ทำรายได้ค่อนข้างสูงด้วยตัวเลข 714 ล้านเหรียญ แต่ถ้าคำนวณจากทุนสร้างที่สูงมหาศาลกว่า 340 ล้านเหรียญ พอเคาะตัวเลขออกมาก็เลยทำได้แค่พ้นเส้นขาดทุนแบบปริ่มน้ำ
แต่เหนืออื่นใด ก็คงหนีไม่พ้นคำวิจารณ์ที่แม้จะดีกว่าภาคที่แล้ว ‘F9’ (2021) ขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นคำครหามากนัก (ไหนจะเรื่องคดีความของ วิน ดีเซล (Vin Diesel) ที่กำลังคาราคาซังอยู่ตอนนี้อีก) คงต้องรอดูว่า ‘Fast X’ Part 2′ จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงและศรัทธาของแฟน ๆ กลับมาได้ หรือจะล้มเหลวปิดตำนานไปแบบหงอย ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม มีคนชังก็ต้องมีคนรัก เพราะหลายคนก็ยังชื่นชอบหนังแฟรนไชส์ชุดนี้และติดตามดูมาทุกภาคอย่างเหนียวแน่น ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า 1 ในแฟนคลับคนรักครอบครัว ‘Fast & Furious’ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้กำกับระดับเสด็จพ่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่ตอนนี้ ‘Oppenheimer’ (2023) กำลังรอเข้าชิงออสการ์ถึง 13 สาขานั่นเอง ซึ่งใครจะไปคาดคิดว่า โนแลนไม่ได้ดูแค่หนังระดับมาสเตอร์พีซเพื่อเอาแรงบันดาลใจอย่างเดียว แต่ยังดูหนังแอ็กชันเพื่อความบันเทิงไม่คิดมากเหมือนกับเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ
โนแลนถูก สตีเฟน โคลแบร์ (Stephen Colbert) พิธีกรชื่อดังถามเรื่องนี้ ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘The Late Show with Stephen Colbert’ ตอนล่าสุด ที่เขายังคงย้ำชัดว่า เขาเป็นแฟนคลับ ‘Fast & Furious’ และไม่เคยรู้สึกผิดหรือคิดเป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกใคร ๆ ว่าเขาก็ดูหนังเรื่องนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน แถมเขายังแปลกใจที่พิธีกรอย่างโคลแบร์ไม่เคยดูแฟรนไชส์นี้เลย
โนแลน: “ผมไม่เคยรู้สึกผิดเลยครับ ที่ได้เป็นแฟนของ ‘Fast & Furious’ แฟรนไชส์หนังแอ็กชันสุดยิ่งใหญ่…”
โคลแบร์: “คือผมยังไม่เคยดูเลยสักภาคนะครับ…ผมเองก็อยากดูเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นหนังที่ฮิตมาก ๆ และผมเองก็ต้องการเข้าใจในพรมแดนใหม่ ๆ ที่ผมพูดถึงทุกวัน ๆ ให้มากขึ้น ผมไม่ชอบที่จะพูดถึงแบบนั้นโดยที่ไม่ได้ดู ‘Fast & Furious’ มาก่อนเลยน่ะ คือผมสงสัยว่า ถ้าคุณต้องพาผมดูหนัง ผมควรจะดูทุกเรื่องรวดเดียวไหม แบบว่าเราต้องนั่งดูกันตั้งแต่ 6.00 น. แล้วไปจบอีกทีเที่ยงคืนอะไรแบบนี้”
โนแลน: “ว้าว… นี่คุณไม่เคยดูมาก่อนเลยเหรอ ?… ผมดูหนังพวกเขาบ่อยมาก ผมรักพวกเขา ผมประหลาดใจนะที่คุณไม่เคยดูเลย คือคุณไม่จำเป็นต้องดูรวดเดียวจบหรอก มีแค่ภาคหลัง ๆ ที่เหตุการณ์จะเริ่มต่อเนื่องกัน ซึ่งผมแนะนำว่าให้เริ่มต้นที่ ‘Tokyo Drift’ เลยนะ เพราะมันไม่ได้มีเนื้อหาเชื่อมกับภาคอื่น ๆ “
ก่อนหน้านี้ โนแลนเคยตอบเปิดเผยเป็นครั้งแรกในพอดแคสต์ ‘Happy Sad Confused’ เกี่ยวกับข่าวลือที่เขาชอบแฟรนไชส์หนัง ‘Fast & Furious’ ว่าเป็นความจริง และเขาเองเผยว่า ภาคหนึ่งในแฟรนไชส์ที่เขาชื่นชอบก็คือ ‘The Fast and the Furious’ (2001) ภาคต้นกำเนิดที่ยังมีความเป็นหนังจารกรรมซิ่งรถยนต์ที่มีความติดดิน แต่ภาคที่เขาชื่นชอบที่สุดก็คงหนีไม่พ้นภาค ‘Tokyo Drift’
โนแลนเล่าถึงภาคแรกนี้ว่า “ผมเองชอบหนังต้นฉบับ (ภาคแรก) ที่ ร็อบ โคเฮน (Rob Cohen) กำกับนะครับ แต่ที่เรียกว่าเป็นที่ 1 ในใจผมก็คือ ‘Tokyo Drift’ รวมไปถึงความสามารถในการสานภาคต่อของ จัสติน ลิน (Justin Lin) ที่พวกเขาสามารถทำมันให้ใหญ่โตและบ้าระห่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่น่าสนุกขึ้นมาได้ ความสนุกของแฟรนไชส์นี้ก็คือ แม้ภาคต่อมันจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่ภาคต่อควรจะเป็น แต่ทุกคนก็มักจะบ่นกันว่าภาคต่อมันใหญ่มาก แต่เรานี่แหละคือคนที่ทำให้ภาคต่อมันใหญ่ขึ้น เราต้องการให้มันใหญ่ขึ้นเอง ไม่ใช่อยากให้มันเล็กลง”
ส่วน ‘The Fast and the Furious: Tokyo Drift’ (2006) ที่โนแลนแนะนำให้ดูนั้น ถ้าหากนับตามการเรียงลำดับการฉาย หนังเรื่องนี้จะถือว่าเป็นหนังเรื่องที่ 3 ของแฟรนไชส์ แต่ถ้านับตามไทม์ไลน์ที่อ้างอิงจากตัวละคร ฮาน (ซอง คัง – Sung Kang) เหตุการณ์ในภาคนี้จะเกิดขึ้นหลังจาก ‘Fast & Furious 6’ (2013) และเกิดก่อนเหตุการณ์ในภาค ‘Furious 7’ (2015)
เหตุการณ์ทั้งหมดจะย้ายไปเล่าเรื่องที่ฮานได้สอนให้ ฌอน บอสเวลล์ (ลูคัส แบล็ค – Lucas Black) หัดขับรถดริฟต์ที่โตเกียว พร้อมกับการกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งของ โดมินิก โทเร็ตโต ที่แสดงโดยดีเซลในตอนท้ายเรื่อง หลังจากที่หายไปจาก ‘2 Fast 2 Furious’ (2003) แต่แม้หลายคนจะชื่นชอบภาคนี้ แต่กลับทำรายได้เบ็ดเสร็จเพียง 159 ล้านเหรียญ เป็นภาคที่ทำรายได้น้อยที่สุดของแฟรนไชส์
โคแบร์: (ที่แนะนำภาค ‘Tokyo Drift’) “เป็นเพราะว่ามันเกิดขึ้นก่อนภาคอื่น ๆ ใช่ไหมครับ ? “
โนแลน: “ไม่ใช่ครับ… เอ่อใช่ เกิดก่อนสิ”
โคแบร์: “นี่ผมเพิ่งจับได้ว่า คริส โนแลน ไม่เข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเวลาใช่ไหมเนี่ย…”
โนแลน: “คือผมกำลังจะบอกอะไรบางอย่างน่ะ แต่คุณควรจะไปดูเอาเอง เดี๋ยวมันจะเป็นการสปอยล์”
ที่มา: Variety, Slash Film
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส