เมื่อ 26 ปีที่แล้ว เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับวิสัยทัศน์ไกล เคยนำพาโปรเจกต์หนังฟอร์มยักษ์สุดยิ่งใหญ่อย่าง ‘Titanic’ (1997) ประสบความสำเร็จลอยลำด้วยการเป็นหนังที่ (ครอง) ตำแหน่งอันดับ 1 บนตารางหนังทำเงินสูงสุดทั่วโลก และแถมยังเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์ 11 สาขา และรางวัลลูกโลกทองคำ รวมทั้งยังแจ้งเกิดคู่ขวัญ ‘แจ็ก-โรส’ รวมทั้งคู่นักแสดงหนุ่มสาว เคต วินสเลต (Kate Winslet)) และ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์
แต่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ๋ย่อมมีเงามืดทับทาบ เพราะความสำเร็จเหล่านั้นก็อาจนำไปสู่วิถีชีวิตที่พลิกผันและยากเกินรับมือ โดยเฉพาะกับนักแสดงสาวในเวลานั้นอย่างวินสเล็ต เจ้าของบทสาวสูงศักดิ์ โรส เดวิต บูเคเตอร์ (Rose DeWitt Bukater) ที่แม้หลังจากนั้น เธอจะยังคงมีผลงานในหนังอินดี้ฟอร์มเล็กเสียเป็นส่วนมาก มีงานฟอร์มยักษ์นาน ๆ ครั้ง ผลงานที่น่าจะคุ้นกันก็เช่นหนังดราม่าอีโรติก ‘The Reader’ (2008) หรือ ‘Revolutionary Road’ (2008) ที่เธอกลับมาเจอกับลีโออีกครั้ง ส่วนหนังฟอร์มยักษ์ล่าสุดที่เธอเพิ่งร่วมงานก็คือการแปลงกายเป็นชาวนาวีใน ‘Avatar: The Way of Water’ (2023)
ล่าสุด วินสเล็ต วัย 48 ปี ที่กำลังจะมีผลงานมินิซีรีส์ของ HBO เรื่องใหม่ ‘The Regime’ ที่จะเข้าฉายในเดือนมีนาคมนี้ ได้มาให้สัมภาษณ์เปิดใจกับนิตยสาร Porter เกี่ยวกับปรากฏการณ์ ‘Titanic’ ที่ส่งผลกระทบต่อวินสเล็ตในวัย 22 ปี ที่ถูกชื่อเสียงและความสำเร็จจาก ‘Titanic’ ถาโถม เปลี่ยนชีวิตให้เธอกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ภายในชั่วข้ามคืน แต่ในขณะเดียวกัน วิถีชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน และนั่นก็นำไปสู่เหตุผลที่ว่า ทำไมเธอจึงหันมาแสดงหนังอินดี้ฟอร์มเล็ก ๆ แทน
เธอเล่าถึงตัวเองในช่วงนั้น เปรียบเทียบกับ มีอา เทรียเพิลตัน (Mia Threapleton) ลูกสาววัย 23 ปีของเธอที่กำลังเป็นนักแสดงและมีผลงานมาบ้างแล้ว เกี่ยวกับการรับมือของผู้หญิงในอุตสาหกรรมบันเทิงที่เปลี่ยนไป “เยาวชนหญิงในตอนนี้รู้วิธีว่าจะใช้ชี่อเสียงของเธออย่างไร ในขณะที่ฉัน (หลังแสดง ‘Titanic’) ฉันต้องโฟกัสไปทางใดทางหนึ่ง ทำอะไรได้ทีละอย่าง และในเวลานั้น การรุกล้ำสื่อในตอนนั้นก็เป็นอะไรที่สำคัญมาก ชีวิตของฉันตอนนั้นจึงไม่ค่อยจะน่าอภิรมย์เท่าไหร่”
“นักข่าวมักจะบอกกับฉันตลอดว่า ‘หลังจาก ‘Titanic’ คุณอยากทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่คุณกลับเลือกที่จะไปทำงานจิ๊บ ๆ จ้อย ๆ พวกนี้’ ฉันก็ตอบว่า ‘ใช่ค่ะ พนันกันได้เลยว่าชีวิตฉันตอนนั้นมันโคตรจะเหี้-เลย!’ รู้ไหมว่าเพราะอะไร เพราะการมีชื่อเสียงมันเป็นอะไรที่โคตรแย่มาก แย่จริง ๆ
ไม่ใช่ว่าวินสเล็ตจะไม่ซาบซื้งกับชื่อเสียงและเงินทองที่ได้มา เพียงแต่เมื่อตระหนักได้ว่าชื่อเสียงไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดี เธอก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจกับมันให้มากเกินควร และไม่ได้ต้องการจะไปแข่งขันกับใครในอาชีพนี้ “แน่นอนว่าฉันซาบซึ้งกับมันมาก เพราะมันทำให้ฉันมีเงินซื้อแฟลตได้ตั้งแต่ตอนอายุ 20 ต้น ๆ แต่ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเอาเงินไปเก็งกำไรอะไร”
“(คำว่าชื่อเสียง) โอ้ มันเป็นคำที่โคตรไร้สาระเลย ฉันใส่ใจกับมันน้อยมาก ไม่ได้เอามาเป็นภาระอะไร แน่นอนว่า ‘Titanic’ นั้นยังคงนำความสุขมหาศาลมาสู่ผู้คนอย่างต่อเนื่อง มีครั้งเดียวที่ฉันรู้สึกว่า ถ้าอยู่ตรงไหนในเรือก็รีบแอบ ๆ ไปดีกว่า ฉันตื่นเต้นกับคนที่ทำมัน ไม่มีแบบว่า ‘คุณได้ทำสิ่งนั้นด้วย’ ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ไม่เคยเสียใจ ไม่มีเลย”
หลังจาก ‘Titanic’ ผลงานถัดไปก็คือ การรับบทนำในหนังอินดี้ฟอร์มเล็กมาก ๆ ของอังกฤษเรื่อง ‘Hideous Kinky’ (1998) หนังดราม่ากึ่งชีวประวัติของอังกฤษที่ต่างจากหนังเรื่องก่อนหน้าแบบสุดขั้ว เธอเคยเปิดเหตุผลในการยอมลดตัวเองจากซูเปอร์สตาร์หนังฮอลลีวูด ไปรับบทในหนังที่แทบไม่มีใครคุ้นชื่อว่า
“หลังจาก ‘Titanic’ ฉันอยากทำสิ่งที่เล็กกว่านี้ และแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันสำคัญสำหรับฉันมาก ที่จะต้องทำให้คนอื่นรู้ว่า ฉันไม่อยากขี่บนยอดคลื่น ด้วยการรับแสดงในหนังฮอลลีวูดเยอะ ๆ ตลอดไป และฉันก็ไม่อยากให้เพื่อนชาวอังกฤษคนไหนมาบอกว่า ‘โอ้ ขอบคุณนะ เคต วินสเล็ต ที่ละเลยหนังอังกฤษ'”
“ฉันอยากจะหยุดตัวเองจริง ๆ เพราะฉันรู้ว่า สิ่งต่าง ๆ มันจะกลายเป็นความบ้าคลั่งสุด ๆ หลังจากที่ ‘Titanic’ ออกฉายแน่ ๆ “
วินสเล็ตเคยเล่าในพอดแคสต์ ‘Happy Sad Confused’ เกี่ยวกับปัญหาหนึ่งที่เธอรู้สึกไม่ดีต่อการมีชื่อเสียง นั่นก็คือการถูกวิพากษ์วิจารณ์จนเกินเลยขอบเขต โดยเฉพาะการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องตอนจบของหนัง หลังจากที่เรือไททานิคล่มแล้ว แจ็กได้สละตัวเองให้โรสเกาะอยู่บนเศษแผ่นไม้ที่ลอยมาตามน้ำ ซึ่งก็มีข้อถกเถียงกันมากมายว่า ทำไมแจ็กไม่ปืนขึ้นไปเกาะแผ่นไม้ด้วย จนทำให้แจ็กเสียชีวิตจากภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติในที่สุด เหตุการณ์หลังจากนั้น กลายเป็นวาทะสนุกปากให้แฟนหนังปากพล่อยบางคนเอาไปวิจารณ์เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ
“(นักข่าวบอกว่า) เห็นได้ชัดเลยว่าฉันอ้วนเกินไป ทำไมพวกเขาถึงใจร้ายกับฉันขนาดนี้เนี่ย ? พวกเขาใจร้ายมาก ฉันไม่ได้อ้วนสักหน่อย ฉันบอกกับนักข่าว ฉันจะตอบว่า ‘อย่ามาปฏิบัติตัวกับฉันแบบนี้นะ’ ฉันเป็นหญิงสาว ร่างกายของฉันกำลังเปลี่ยนแปลง ฉันรู้ตัวดี ฉันกลัวและรู้สึกไม่โอเคมาก ๆ อย่าทำให้มันยุ่งยากไปกว่านี้เลย มันเป็นการกลั่นแกล้งกันนะรู้ไหม และที่ฉันจะบอกคือ จริง ๆ มันก็ถือว่าเป็นการละเมิดจนเกินขอบเขตด้วยนั่นแหละ”
“ผู้หญิงที่ต้องแสวงหาชื่อเสียงมักจะมีภาพลักษณ์เป็นลบเสมอ ผู้คนเหล่านั้นล้วนตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งมันเป็นอะไรที่เกินกว่าคนหนุ่มสาว และคนที่เปราะบางจะรับมือไหว แต่ (ตอนนี้) วงการภาพยนตร์เปลี่ยนแปลงไปเร็วมากจริง ๆ ตอนที่ฉันยังเด็ก ตัวแทนของฉันมักจะได้โทรศัพท์ถามว่า ‘ตอนนี้น้ำหนักของเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว’ นี่ฉันไม่ได้พูดเล่น ๆ นะ เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่สิ่งนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”
ที่มา: Porter, Entertainment Weekly, Variety
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส