เซบาสเตียน สแตน (Sebastian Stan) นักแสดงหนุ่มหล่อที่เรารู้จักจากการรับบทเป็น บัคกี บาร์นส์ (Bucky Barnes) หรือ วินเทอร์ โซลเยอร์ (Winter Soldier) จากภาพยนตร์ ‘Captain America’ และซีรีส์ ‘The Falcon and the Winter Soldier’ ใน MCU กำลังมีผลงานการแสดงในหนังเรื่องใหม่ ‘A Different Man’ หนังทริลเลอร์จิตวิทยาของค่ายหนังอินดี้คุณภาพ A24
เรื่องราวของ ‘A Different Man’ เป็นผลงานการเขียนบทและกำกับโดย อาร์รอน ชิมเบิร์ก (Aaron Schimberg) ว่าด้วยเรื่องของเอ็ดเวิร์ด (สแตน) ชายหนุ่มผู้มีปัญหาด้านระบบประสาทจนทำให้ใบหน้าเสียโฉม ทำให้เขาต้องรับการผ่าตัดใบหน้า แต่เขากลับเริ่มให้ความสนใจเข้าขั้นหมกมุ่นในตัวของออสวอล์ด (อดัม เพียร์สัน – Adam Pearson) นักแสดงผู้รับบทเป็นเอ็ดเวิร์ด ในละครเวทีที่ดัดแปลงเรื่องมาจากชีวิตจริงที่เกิดขึ้นกับตัวของเอ็ดเวิร์ดในอดีต
โดยตอนนี้ สแตนกำลังอยู่ในระหว่างการเดินสายโปรโมตร่วมกับเพียร์สัน นักแสดงชาวอังกฤษวัย 39 ปี ที่ต้องเผชิญกันโรคท้าวแสนปม (Neurofibromatosis) มาตั้งแต่กำเนิด ทำให้ใบหน้าของเขามีเนื้องอกโตขึ้นมาบนใบหน้าจนทำให้เสียโฉม เพียร์สันเป็นทีมงานผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์ BBC และ Channel 4 และก่อนหน้านี้ เขาเองก็เคยมีผลงานร่วมกับ A24 ในหนัง ‘Under the Skin’ (2013) ที่แสดงร่วมกับ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน (Scarlett Johansson) และเคยร่วมงานกับชิมเบิร์กมาแล้วในหนังดราม่า ‘Chained for Life’ (2019) อีกด้วย
โดยล่าสุด ตัวหนังได้มีโอกาสฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินครั้งที่ 74 โดยมีทั้งสแตนและเพียร์สันไปร่วมงานแถลงข่าวด้วย ในระหว่างให้สัมภาษณ์ มีนักข่าวต่างประเทศคนหนึ่ง ดันโพล่งถามคำถามกับสแตนว่า “คุณคิดอย่างไร หลังจากการเปลี่ยนแปลงโฉมจากสัตว์ร้าย (Beast) กลายมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว ? ” สแตนที่สะดุดกับคำว่า ‘สัตว์ร้าย’ จึงต้องออกโรงโต้ที่นักข่าวคนนั้นใช้คำเรียกลักษณะภายนอกของเพียร์สันอย่างไม่เหมาะสม
“คือผมต้องขอทักท้วงคุณหน่อยนะครับ สำหรับการเลือกใช้คำนั้นน่ะ สาเหตุอย่างหนึ่งที่หนังเรื่องนี้มีความสำคัญ ก็เพราะว่าเรามักไม่มีคำศัพท์ที่ถูกต้อง มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น และก็เห็นได้ชัดเลยว่า มันมีอุปสรรคด้านภาษาและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ผมว่าการใช้คำว่า ‘สัตว์ร้าย’ มันไม่น่าจะใช่นะ ท้ายที่สุด มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจนะครับ เพราะผมรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้กำลังพูดถึง เราต่างก็มีความคิดยึดติดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เราไม่ได้รับการสอนให้เข้าใจถึงประสบการณ์พิเศษเหล่านี้มากเท่าไหร่”
ในอดีตที่ผ่านมา ฮอลลีวูดส่วนใหญ่มักจะนำเอานักแสดงที่ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ มาแสดงเป็นคนที่มีความพิการและรูปร่างผิดปกติ ซึ่งกลายเป็นข้อถกเถียง ทั้งในเรื่องของความสมจริง และความเหมาะสม โชคดีที่ในภายหลังเราได้เห็นคนพิการมีที่ทางในฮอลลีวูดมากขึ้นด้วยการรับบทที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายจริง ๆ ชิมเบิร์ก ผู้กำกับที่เคยมีปัญหาปากแหว่งเพดานโหว่ ได้เล่าถึงเหตุผลที่เลือกเพียร์สันมาแสดงในหนังของเขาว่า
“มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมมาตลอดครับ ว่าถ้าผมจะต้องสร้างหนังเกี่ยวกับคนที่มีรูปร่างผิดปกติ ผมก็จะเลือกคนที่มีรูปร่างผิดปกติด้วย ผมเองมีความสงสัยมาตลอดชีวิตว่า ‘สิ่งเหล่านี้มันนิยามถึงตัวผมมากแค่ไหนกันนะ ? ‘ และถ้าผมเกิดออกมาไม่เหมือนตอนนี้ หรือถ้าผมสามารถแก้ไขมันได้มากกว่าที่สามารถทำได้จะเป็นยังไง ผมเลยดึงเอาความคิดตรงนี้มาใช้ได้”
เพียร์สันกล่าวประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเขาที่อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่กล้าดูหนัง สิ่งที่จะทำได้คงไม่ใช่การป่าวประกาศหรือเรียกร้องความสนใจให้ผู้ชมยอมมาดูหนังด้วยท่าทีอันแข็งขัน แต่ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“วิธีเดียวที่จะท้าทายการรับรู้ของผู้คนเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง และท้าทายมันอย่างแท้จริง ก็คือการเปิดเผยอย่างมีความอ่อนโยนและมีความกรุณา ยิ่งเราทำสิ่งนั้นได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งง่ายและเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น ผมไม่ได้มีหน้าที่อะไรในการทำให้คนที่ตกตะลึงยอมจำนน เพราะผมชอบการสนทนาที่จริงใจ และการแก้ไขมันด้วยความรักและความสง่างามอย่างที่ควรจะทำ”
เพียร์สันยังได้กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับการที่ตัวหนังสามารถสร้างอิทธิพลให้กับผู้ชมได้ ไม้ใช่แค่จุดกระแสให้เกิดการเรียกร้อง แต่สามารถกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชมสามารถเปลี่ยนความคิดที่มีอยู่เดิมไปตลอดกาลได้
“มันคงไม่ใช่เรื่องยากเลย ที่จะทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นแคมเปญ หรือทำให้ผู้คนออกมาแสดงออก แต่ผมคิดว่าผู้ชมฉลาดกว่านั้น ฉลาดกว่าคนที่ทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้น สำหรับผม หนังที่ดีจะเปลี่ยนสิ่งที่ผู้ชมคิดไปชั่วขณะหนึ่ง แต่หนังที่ดีจะเปลี่ยนวิธีคิดของผู้ชมไปตลอดชีวิต”
ที่มา: The Hollywood Reporter, Variety
***