ตลอดระยะเวลาหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา หลายคนที่ติดตามภาพยนตร์ในจักรวาล MCU ของ Marvel Studios ก็มักจะได้พบกับเรื่องราว 2 แบบ ทั้งไตเติลที่เป็น Standalone หรือเรื่องราวแยกเดี่ยวของซูเปอร์ฮีโรแต่ละคน ก่อนจะมารวมตัวกันในหนัง Crossover หรือหนังรวมซูเปอร์ฮีโรในภายหลัง จะมีก็เพียงแต่ ฮัลค์ (Hulk) ที่ไปปรากฏตัวในหนังและซีรีส์เรื่องอื่น ๆ มากมาย รวมทั้งในหนังครอสโอเวอร์อย่าง ‘Avengers’ แต่จนป่านนี้แล้ว ยักษ์เขียวจอมพลังก็ยังไม่เคยได้มีหนังเดี่ยวเป็นของตัวเองสักที
มาร์ก รัฟฟาโล (Mark Ruffalo) นักแสดงเจ้าของบทบาท Hulk หรือ บรูซ แบนเนอร์ (Bruce Banner) วัย 56 ปี ที่ตอนนี้กำลังมีผลงานการแสดง และมีชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ จากผลงานหนังพีเรียดพล็อตเพี้ยนอย่าง ‘Poor Things’ ได้ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับนิตยสาร GQ และแน่นอนว่าจะไม่พูดถึงบทบาท Hulk ฉบับซอฟต์ ๆ นุ่มนวล ที่สร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่เขากลับไม่เคยได้มีโอกาสมีหนังเดี่ยว เหมือนกับเพื่อน ๆ แก๊ง Avengers เลยแม้แต่เรื่องเดียว
ส่วนหนึ่งก็อย่างที่ทราบกันดีว่า ยุคหลัง ‘Avengers: Endgame’ (2019) และการมาของสงครามสตรีมมิง ทำให้ Marvel Studios ต้องเผชิญกับวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ ที่หลายไตเติลทั้งหนังและซีรีส์ของ MCU ยุคหลังเฟส 4 ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์ รวมทั้งการปล่อยไตเติลจำนวนมากจนผู้ชมตามและเชื่อมโยงไม่ไหว
และนั่นก็สอดคล้องกับที่รัฟฟาโลกล่าวถึงการฟื้นฟูของ Marvel ในบทสัมภาษณ์นี้ “ผมคิดว่าการขยาย (เรื่องราว) ไปสู่สตรีมมิงเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากนะครับ แต่สิ่งที่ภาพยนตร์ของ Marvel เป็นก็คือ คุณต้องรอมันนานถึง 3 ปีเพื่อสร้างความมหัศจรรย์ขึ้นมา และการแก้ไขเหล่านี้มันจะส่งผลดีบ้างหรือเปล่านะ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อันนี้ผมก็ไม่รู้แฮะ”
หากนับช่วงเวลาในจักรวาล MCU จริง ๆ แล้วไม่เชิงว่าจะไม่เคยมีหนังเดี่ยวของ Hulk เลย หลังจาก ‘Iron Man’ (2008) เข้าฉาย หนัง Standalone เรื่องที่ 2 ของสตูดิโออย่าง ‘The Incredible Hulk’ (2008) ก็เข้าฉายต่อในปีเดียวกัน โดยมี เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Edward Norton) รับบทเป็น บรูซ แบนเนอร์ แต่ด้วยรายได้ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และปัญหาส่วนตัวที่นอร์ตันมีกับสตูดิโอ ก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังเดี่ยวของ Hulk (และบทบาทของนอร์ตัน) เรื่องสุดท้าย ก่อนที่รัฟฟาโลจะได้เข้ามาสู่จักรวาลเป็นครั้งแรกใน ‘The Avengers’ (2012) จากการชักชวนของผู้กำกับและผู้เขียนบทอย่าง จอสส์ วีดอน (Joss Whedon)
ส่วนสาเหตุที่ Hulk (ของรัฟฟาโล) ไม่เคยได้มีโอกาสมีหนังเดี่ยว เนื่องจากว่าลิขสิทธิ์ในคาแรกเตอร์ Hulk มี Marvel และ Universal Pictures เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ร่วมกัน ซึ่งด้วยข้อกฏหมายบางอย่าง ก็เลยทำให้เราได้เห็น Hulk ไปปรากฏเฉพาะในหนังเรื่องอื่น ๆ ของ MCU โดยไม่เคยมีหนัง Standalone เป็นของตัวเอง
ซึ่งแม้รัฟฟาโลเองจะแง้มว่า หากเกิดมีวันนั้นจริง ๆ เขาเองก็พร้อมจะกลับมารับบทบาทเสมอ แต่เขาเองก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ยาก แม้ CGI หนังซูเปอร์ฮีโรจะไม่ใช่สิ่งที่แพงเกินฝัน แต่อย่างไรก็ตาม มันก็อาจจะแพงเกินไปในสายตาของ Marvel ในยุคที่ต้องรัดเข็มขันแน่น ๆ
“ผมอยากทำหนังเดี่ยวของ Hulk นะครับ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่น่าจะมีวันเกิดขึ้นได้ เพราะผมคิดว่ามันน่าจะโคตรแพงเอาเรื่องเลย! ถ้าผมต้องรับบทนั้นทั้งเรื่องนะ มันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงใช้ Hulk เท่าที่จำเป็นในหนังแต่ละเรื่อง ซึ่งอันนี้ผมลองคิดราคาเอาเองนะ”
ตรงกับที่ ทาเทียนา มาสลานี (Tatiana Maslany) เจ้าของบท She-Hulk จากซีรีส์ ‘She-Hulk: Attorney at Law’ (2022) (ที่มีรัฟฟาโล หรือ Hulk ไปปรากฏตัวด้วย) เคยแง้มว่าซีซัน 2 ของซีรีส์เรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ จากการที่ซีซันแรกใช้งบประมาณรวมสูงมากกว่า 225 ล้านเหรียญ
ในขณะที่เรื่องราวของคาแรกเตอร์ตระกูล Hulk ที่จะมาในอนาคตทั้ง ‘Captain America: Brave New World’ และ ‘Thunderbolts’ ก็จะเป็นตัวละคร Red Hulk หรือนายพลแธดเดียส ‘ธันเดอร์โบลต์’ รอสส์ ที่รับบทโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมี Hulk ออริจินัลอย่างรัฟฟาโลไปรับเชิญด้วยหรือไม่
รัฟฟาโลทิ้งท้ายประเด็นเกี่ยวกับการที่นักวิจารณ์หลายคนกล่าวถึงเขาว่า เขาเสียเวลาในการทุ่มเทเป็นนักแสดงหลายปีเพื่อไปรับบทในหนังฮีโรจากหนังสือการ์ตูน ซึ่งคำวิจารณ์ที่มองว่าเขาไม่ได้ดูเท่ในสายตาใครบางคนอาจไม่ใช่สิ่งที่เขารู้สึกรบกวนจิตใจนัก เพราะบางทีนักแสดงบางคนที่เข้ามาสู่จักรวาล MCU ต่างก็เคยขอเข้ามาพูดคุยกับเขา แม้จะเคยปฏิเสธไปแล้วก็ตามที
“คือมันไม่เท่ใช่ไหม ? ผมได้ยินเรื่องนี้จากเพื่อน ๆ หลายคนมาก บางทีผมคิดว่าก็คงอิจฉาหน่อย ๆ แหละ เพราะผมเห็นพวกเขาบอกว่าจะหนีไป แล้วสุดท้ายก็กลับมาตกลง (รับบท) ทุกทีเลย”
***