ผู้กำกับชาวอเมริกัน เดเมียน ชาเซลล์ (Damien Chazelle) เคยได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่เนื้อหอมที่สุดคนหนึ่ง จากการกำกับหนังที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลก ไล่ไปตั้งแต่ ‘Whiplash’ (2014) หนังดนตรีแจ๊สสุดดุเดือดที่ดัดแปลงมาจากหนังสั้นที่เขาเคยทำเอาไว้ ที่คว้ารางวัลออสการ์ไปได้ถึง 4 สาขา รวมทั้งสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมตัวแรกของ เจ เค ซิมมอนส์ (J. K. Simmons) เจ้าของบทคุณครูดนตรีแจ๊สสุดโหด
ต่อมาในหนังรอมคอมดราม่ามิวสิคัลสุดประทับใจ ‘La La Land’ (2016) ก็ประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการเข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 14 รางวัล (จาก 13 สาขา) และคว้ามาได้ 6 สาขา รวมทั้งรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมตัวแรกในชีวิตที่ตกเป็นของ เอ็มมา สโตน (Emma Stone)
แต่อย่างที่ทราบกันว่า ผลงานล่าสุดของเขาอย่าง ‘Babylon’ (2022) ภาพยนตร์ Epic แนวตลกร้ายที่สอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดในช่วงทศวรรษ 1920 แต่แม้หน้าหนังจะถือว่าค่อนข้างแข็ง ไม่ว่าจะด้วยจากชื่อเสียงของผู้กำกับ ดาราแม่เหล็ก ทุนสร้างที่สูงที่สุดในบรรดาผลงานของเขา และด้วยหลาย ๆ องค์ประกอบ ทำให้หนังเรื่องนี้ล้มเหลวในด้านคำวิจารณ์ที่เสียงแตก และกลายเป็นหนังอีกเรื่องในปีนั้นที่หน้าหนังดี แต่คำวิจารณ์ล้มเหลวไปอย่างน่าเสียดาย
ล่าสุด ชาเซลล์ ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ ได้เปิดเผยในรายการพอดแคสต์ ‘Talking Pictures’ ว่า หลังจากความล้มเหลวแบบพลิกล็อกจากผลงานเรื่องก่อนหน้า ซึ่งนอกจากเขาเองจะเปิดเผยว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการทำงานเขียนบทหนังเรื่องใหม่อยู่
แม้เขาจะไม่ได้ให้รายละเอียดว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขาเกี่ยวข้องกับอะไร แต่ที่เรียกว่าใจชื้นก็คือ งานโปรเจ็กต์ใหม่นี้ทำให้เขาไม่ได้มัวมานั่งจมอยู่กับความล้มเหลวในอดีต แต่เขาเองก็ยังมีความกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะนั่นอาจทำให้เขาไม่ได้รับทุนสร้างในระดับที่ใกล้เคียงจากที่เขาเคยได้ใน ‘Babylon’ ในโปรเจ็กต์หนังเรื่องต่อไป หรือแม้แต่โปรเจ็กต์อื่น ๆ ในอนาคต
“ผมเองทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนครับ ผมเองยุ่งอยู่กับการเขียนบท (หนังเรื่องใหม่) ซึ่งตั้งแต่ ‘Babylon’ ผมเห็นแล้วว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง เมื่อผมเขียนบทหนังเรื่องนี้เสร็จ และพยายามจะทำ (ให้กลายเป็นหนัง) ขึ้นมาจริง ๆ ผมอยู่ในสภาพจิตใจที่ค่อนข้างวิตกกังวลนะครับ และผมก็คงไม่หลอกตัวเองด้วย ผมคิดแล้วว่าผมคงไม่ได้รับงบประมาณเท่ากับ ‘Babylon’ ในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ในหนังเรื่องต่อ ๆ ไป”
“คือแน่นอนว่าในแง่ของการเงิน ‘Babylon’ มันเป็นอะไรที่ล้มเหลวนั่นแหละครับ ต่อให้ผมจะพยายามไม่ให้มันมามีผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ที่คุณกำลังทำ แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ส่งผลกระทบเอาซะเลย แต่ว่ามันก็อาจจะไม่กระทบอะไรมากใช่ไหม ? ผมมีความคิดที่หลากหลายมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ บางทีผมอาจจะทำหนัง (เรื่องต่อไป) ไม่ได้ก็ได้ ใครจะไปรู้ คงต้องรอดูกันต่อไป”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จของ ‘Whiplash’ และ ‘La La Land’ ทำให้ผู้ชมและฮอลลีวูดคาดว่า ‘Babylon’ จะกลายเป็นหนังอีกเรื่องของชาเซลล์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยการได้ดาราแม่เหล็กทั้ง แบรด พิตต์ (Brad Pitt), มาร์โกต์ ร็อบบี (Margot Robbie) ดิเอโก คาลวา (Diego Calva) และ โทบีย์ แม็กไกวร์ (Tobey Maguire) มาร่วมแสดง การใช้ทุนสร้างเนรมิตฮอลลีวูดยุค 1920 และลอสแองเจลิส (ในยุคที่ยังไม่มีป้าย Hollywood) ได้ออกมาสมจริงทุกรายละเอียด
รวมทั้งยังขนทีมงานคู่บุญที่เคยร่วมงานกับชาเซลล์มาแล้ว ทั้ง ลีนุส แซนด์เกรน (Linus Sandgren) ผู้กำกับภาพที่ลงทุนถ่ายทำทั้งเรื่องด้วยกล้องฟิล์ม 35 มิลลิเมตรแบบ Anamorphic ได้ ทอม ครอส (Tom Cross) กลับมาตัดต่อหนังความยาว 3.08 ช.ม. (188 นาที) ให้ และได้ จัสติน เฮอร์วิตซ์ (Justin Hurwitz) Composer คู่บุญจาก ‘La La Land’ มาบรรเลงสกอร์แนวแจ๊สสุดระห่ำเร่งเร้าบรรยากาศให้อะดรีนาลีนของหนังพุ่งพล่าน ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวหนังใช้ทุนสร้างจาก Universal Pictures ไปกว่า 80 ล้านเหรียญ
แม้ตัวหนังจะได้รับคำชมในแง่ของโปรดักชัน บรรยากาศ พลังของนักแสดงที่ใส่กันเต็มที่ ธีมความรัก (และเกลียด) ฮอลลีวูดตามแบบฉบับของผู้กำกับ รวมทั้งเพลงสกอร์ การถ่ายภาพลองเทคสุดหวือหวา ตัดต่อสุดละเมียดละไม (และซีนตัดต่อหนังดังท้ายเรื่องสุดบ้าคลั่ง) ฯลฯ จะได้รับคำชื่นชมอย่างมาก แต่ตัวหนังกลับโดนวิจารณ์เรื่องของบท ความทะเยอทะยานในการเล่าเรื่องราวออกมาแบบเล่นใหญ่ รวมทั้งมุกตลกเชย ๆ และพล็อตคัลต์จนไปบดบังธีมหนังเข้ม ๆ ไปหมด
ทำให้ตัวหนังได้รับคำวิจารณ์ผิดคาด ได้คะแนนฝั่งนักวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปเพียง 57% แถมพอเข้าฉาย ก็โดนหนังฟอร์มโคตรยักษ์อย่าง ‘Avatar: The Way of Water’ ที่เข้าฉายก่อนหน้านั้นกลบซ้ำไปอีก ทำให้ตัวหนังทำรายได้ Box Office ในสหรัฐอเมริกาไปเพียง 15 ล้านเหรียญ และทำรายได้ทั่วโลกเพียง 63 ล้านเหรียญ
ชาเซลล์เคยเปิดเผยถึงกระแสคำวิจารณ์ที่มีต่อหนังเรื่องนี้กับเว็บไซต์ Insider ว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ ที่คุณสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา แล้วผมเองเชื่อว่ามันจะกลายเป็นของผู้ชมทันทีที่ผู้สร้างทำเสร็จ และนั่นรวมไปถึงนักวิจารณ์และรวมถึงทุกคนด้วย และทุกคนก็ย่อมจะมีมุมมองที่แตกต่างกันในหนังเรื่องนี้ และผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฏหมายอะไร”
“เราทุกคนรู้ดีครับว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้บางคนบ้าคลั่ง และผมคิดว่านั่นแหละเป็นเรื่องที่ดี เราควรจะมีหนังที่เป็นแบบนั้นให้เยอะมากกว่านี้”