จะนับว่าเป็นความผิดหวังของปี 2023 ก็ว่าได้ เมื่อ ‘Rebel Moon’ ผลงานออริจินัลหนังไซไฟมหากาพย์อวกาศ จากวิสัยทัศน์และความฝันของ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ที่หลายคนตั้งตารอคอยว่าจะได้เห็น ‘Star Wars’ ฉบับ Epic Dark Hell ต้องพังครืน เพราะในภาคแรก ‘A Child of Fire’ หรือ ‘บุตรแห่งเปลวไฟ’ ที่เข้าฉายไปแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้คะแนน Tomatometer จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปเพียง 21% จนทำให้แฟน ๆ หลายส่วนวิจารณ์คุณภาพหนังของสไนเดอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ใช่เพียงแค่สไนเดอร์ที่โดนวิจารณ์ เพราะดูเหมือนว่าเหล่านักแสดงก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน 1 ในนั้นก็คือ โซเฟีย บูเตลลา (Sofia Boutella) นักแสดงเจ้าของบท โครา (Kora) หญิงสาวเกษตรกรผู้ลึกลับ ที่มีเบื้องหลังเป็นอดีตแม่ทัพของดาวมาเธอร์เวิลด์ (Motherworld) ที่กำลังถูกจอมทรราชย์ บาลิซาเรียส เข้ายึดครอง และส่งกองทัพเพื่อออกล่าล้างกบฏไปทั่วจักรวาล กองทัพแห่งมาเธอร์เวิลด์ได้มาเยือนเธอและชาวอาณานิคมเกษตรกรรมบนดวงจันทร์แห่งเวลท์ (Veldt) ทำให้เธอตัดสินใจออกเดินทางเพื่อรวบรวมอดีตนักรบฝีมือดี ร่วมกันโค่นล้มอำนาจเผด็จการให้จงได้
แม้ในแง่หนึ่ง การแสดงของบูเตลลาจะได้รับคำชื่นชมอยู่พอสมควรในฐานะที่สามารถรับบทนี้ได้อย่างน่าสนใจและมีมิติ แต่คำวิจารณ์ที่มีต่อตัวหนัง ทำให้เธอได้เปิดเผยในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเว็บไซต์ Vulture ว่าแม้เธอจะพยายามตั้งรับคำวิจารณ์เหล่านั้น แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เธอยังทำใจยอมรับได้ยากพอสมควร
“ฉันคิดเองมาโดยตลอดว่า ฉันมีอาวุธครบมือที่จะปะทะกับแรงกระแทกเหล่านั้น แต่พอฉันอ่านบทวิจารณ์ที่วิจารณ์หนัง ‘Rebel Moon’ มันก็ส่งผลกระทบต่อฉันอย่างมาก ฉันขอบอกตามความสัตย์จริงเลยว่า ฉันรู้สึกเหมือนกำลังแบกคำวิจารณ์เหล่านั้นที่มีต่อทุก ๆ คนที่ใส่ใจในโปรเจ็กต์นี้อย่างมาก และนั่นก็คือสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อฉัน ซึ่งมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฉันคาดหวัง ตัวฉันเองค่อนข้างโชคดี และผู้คนก็ชอบงานของฉันในหนังเรื่องนี้ แต่ว่าหนังเรื่องนี้ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ มันส่งผลกระทบอย่างมากกับฉัน และต่อทุกคนที่ทุ่มเททั้งหัวใจ น้ำตา และหยาดเหงื่อให้กับโปรเจกต์นี้”
โปรเจ็กต์ ‘Rebel Moon’ ของสไนเดอร์นั้นมีที่มาจากโปรเจกต์ในฝันของสไนเดอร์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ไซไฟอวกาศ ‘Star Wars’ รวมทั้งการผสมผสานป๊อปคัลเจอร์ยุค 80s และพล็อตหนังหลายแบบหลายสไตล์ ตั้งแต่หนังซามูไร ‘Seven Samurai’ (1954) หรือ ‘เจ็ดเซียนซามูไร’ หนังซามูไรของ อะกิระ คุโรซาวะ (Akira Kurosawa)
แต่เดิม สไนเดอร์ได้วางแผนเสนอไอเดียนี้ให้กับทางลูคัสฟิล์ม (Lucasfilm) เพื่อพัฒนาต่อเป็นหนัง Star Wars ภาคใหม่ แต่ด้วยจังหวะที่ Disney เข้าซื้อกิจการ Lucasfilm ในปี 2012 ก็ทำให้โปรเจ็กต์นี้ถูกละเลยไป จนกระทั่งสไนเดอร์ได้เดินเข้าสตูดิโอ Warner Bros. เพื่อเริ่มต้นสร้างจักรวาล Snyderverse ของ DCEU ก่อนที่จะสิ้นสุดการทำงาน และหันมาร่วมทำงานออริจินัลกับทาง Netflix ที่อนุมัติงบให้เขาผลิตงานออริจินัลออกมาได้อย่างเต็มที่
อย่างที่ทราบกันดีว่า นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องเดียว เพราะสไนเดอร์ต้องการสร้าง ‘Rebel Moon’ ให้มีความเป็นจักรวาลที่เล่าเรื่องในรูปแบบต่าง ๆ โดยเรื่องราวของครึ่งหลัง ‘The Scargiver’ หรือ ‘นักรบผู้ตีตรา’ จะเข้าฉายบน Netflix ในวันที่ 19 เมษายน และเขาเองได้วางแผนจะขยายจักรวาลออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งแอนิเมชัน เกม คอมิก นิยาย เพื่อรองรับเส้นเรื่องของจักรวาลที่มีระยะเวลายาวนานถึง 800 ปีเอาไว้แล้ว
บูเตลลายังได้เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานร่วมกับสไนเดอร์เป็นครั้งแรก และการมีส่วนร่วมของเธอต่อหนังเรื่องนี้
“การเดินทางของโครา ใน ‘Rebel Moon’ ฉันคิดว่าฉันพบบางช่วงเวลาในฉาก ที่ฉันสามารถนำความอ่อนไหวที่ไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้ในบทมาเพิ่มไว้ได้ ข้อดีในการร่วมงานกับแซ็กก็คือ เขายอมให้ฉันไปถึงจุดนั้น ตอนที่ฉันดูหนังเรื่องนี้แล้วฉันก็แบบ… (ถอนหายใจ) ‘ฉันทำมันมากเกินไปหรือเปล่านะ ? ฉันทำให้มันดูวุ่นวายยุ่งเหยิงมากเกินไปหรือเปล่า ? ‘ ในภาค 2 คุณจะได้ค้นพบบางอย่างเกี่ยวกับอดีตของเธอ ซึ่งสำหรับฉันมันเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ ที่ได้ทำ ฉันเองไม่รู้ว่าจะให้อภัยตัวละครได้อย่างไร หรือคุณจะอยู่กับตัวเองต่อไปได้ยังไง ? เธอมีความรู้สึกผิดมหันต์ที่ต้องแสดงออกมาด้วยค่ะ”
แม้ว่าคำวิจารณ์จะถล่มจนทำให้เธอรู้สึกทำใจได้ยาก แต่บูเตลลา นางแบบและนักแสดงชาวอัลจีเรียน ก็พร้อมที่จะปกป้องแฟรนไชส์ ‘Rebel Moon’ ที่ทำให้อย่างเธอได้ขึ้นมารับบทนำและเป็นที่รู้จักคุ้นหน้ามากขึ้นกว่าเดิม
“มันเป็นอะไรที่ยากนะคะที่จะทนเห็นบางสิ่งพังยับเยินถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน และหากไม่มี ‘Rebel Moon’ อีกต่อไปแล้ว มันก็ยังจะคงเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของฉัน ที่ฉันจะคอยปกป้องมันตลอดไป”