ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเด็กชายผู้ชอบนอนตื่นสาย จะนำพาการ์ตูนญี่ปุ่นไปสู่ยุคใหม่
การ์ตูนถือเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ ที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น เพราะสื่อชิ้นนี้สร้างเม็ดเงิน ความฝัน และแรงบันดาลใจให้กับคนมากมาย โดยหนึ่งในปูชนียบุคคลที่จุดประกายการ์ตูนญี่ปุ่นยุคใหม่ ให้ก้าวมาได้ขนาดนี้ก็คือ อาจารย์อากิระ โทริยาม่า (Akira Toriyama) บิดาแห่ง ‘Dragon Ball’ และ ‘Dr. Slump’ ชายผู้พาการ์ตูนญี่ปุ่นไปสู่ยุคใหม่ และยกระดับอุตสาหกรรมการ์ตูนโชเน็นให้เปลี่ยนไปตลอดกาล
การ์ตูนโชเน็นคือสื่อที่มีเป้าหมายเพื่อเด็กผู้ชาย มันถูกสร้างมาเพื่อเป็นคัมภีร์ให้เด็ก ๆ เติบโตเป็นคนที่ดีของสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้เหล่าเด็กชายได้ออกไปทำตามฝัน และเด็กชายทั่วญี่ปุ่นต่างก็โตมากับสิ่งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เด็กชายโทริยาม่าเช่นกัน
จุดเริ่มต้นของอ.โทริยาม่า
ในวัยสมัยก่อน เด็กชายโทริยาม่าก็เหมือนกับเด็กทั่วไปที่เติบโตมาพร้อมกับการ์ตูนที่รัก ซึ่งเขามี ‘One Hundred and One Dalmatians’ และ ‘Astro Boy’ ที่ช่วยจุดประกายความรักศิลปะในใจขึ้นมา
สิ่งนี้นำพาให้โทริยาม่า ได้เข้ามาทำงานเป็นกราฟิกของบริษัทโฆษณาทันทีหลังเรียนจบ ทว่าปัญหาคือ เขารู้สึกหมดไฟ จนตื่นสาย และถูกที่ทำงานเรียกไปตักเตือนอยู่หลายครั้ง ดังนั้นแล้ว หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โทริยาม่าในวัย 23 ปี จึงตัดสินใจลาออก และหันหน้าเข้าสู่วงการนักวาดการ์ตูน
ไม่ใช่เพราะไฟในใจกลับมาลุกโชนอะไรหรอกนะ แต่ที่ทำให้เขามาเป็นนักวาด เพราะในเวลานั้นโทริยาม่าเพียงต้องการสมัครงานเพื่อให้ได้เงินประทังชีวิต ซึ่งหลังจากพยายามอยู่ร่วมปี โชคชะตาก็เข้าข้าง โดยผลงานเปิดตัวของเขาอย่าง ‘Wonder Island’ ก็ได้รับความนิยมมาก จนโทริยาม่าเริ่มฐานะดีขึ้น
อันที่จริงแล้ว หลังจากได้เงินมา อาจารย์โทริยาม่าก็คิดจะรีไทร์ตัวเองออกจากวงการ ทว่าตอนนั้นกองบรรณาธิการก็แนะนำเขาว่า ให้ลองเขียนการ์ตูนที่ตัวเอกเป็นผู้หญิงดู และมันก็นำมาซึ่งการกำเนิด Dr. Slump ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ผลงานของเขาโด่งดัง และเป็นที่รู้จักจนได้รับรางวัลมากมาย
อาจารย์โทริยาม่ามีความคิดว่าจะปิดจบซีรีส์ ‘Dr. Slum’ ภายในเวลา 6 เดือนหลังจากสร้าง ทว่าเวลานั้นสำนักพิมพ์ก็รู้ดีว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน พวกเขาจึงบอกว่าจะยอมให้อาจารย์โทริยาม่าจบซีรีส์ได้ก็ต่อเมื่อเขาตกลงที่จะทำการ์ตูนเรื่องอื่น
เวลานั้นอาจารย์โทริยาม่าจึงต้องทดลองสร้าง ‘One-shot’ (การ์ตูนสั้นที่เป็นตอน Pilot) อยู่หลายเรื่อง ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาชอบดูหนังกังฟูมาก กองบรรณาธิการจึงแนะนำว่าเขาควรสร้างการ์ตูนโชเน็นที่ผสมเรื่องราวกังฟูขึ้นมา และแล้วไอเดียนั้นก็นำไปสู่การ์ตูนสั้นเรื่อง ‘Dragon Boy’ โดยเป็นเรื่องราวของเด็กชายที่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ซึ่งต้องทำภารกิจสำคัญ ด้วยการนำเจ้าหญิงกลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตน
ลองทายสิครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Dragon Boy…….
ใช่แล้วล่ะการ์ตูนสั้นเรื่องนี้ได้รับความนิยมจากผู้อ่านมหาศาล ถึงขนาดที่สำนักพิมพ์สั่งไฟเขียวให้นำซีรีส์ไปต่อยอดได้ ซึ่งอาจารย์โทริยาม่าก็ได้นำพลอตกังฟูของ ‘Dragon Boy’ มาผสมผสานกับตำนานไซอิ๋ว จนเกิดเป็นการ์ตูนเรื่องใหม่อย่าง ‘Dragon Ball’
หลังจากนั้นประวัติศาสตร์ก็เป็นอย่างที่ทุกคนทราบดี เพราะเมื่อ ‘Dragon Ball’ ได้ตีพิมพ์ มันก็ได้รับความนิยมมหาศาล โดยซีรีส์นี้ ขายได้มากกว่า 260 ล้านเล่มทั่วโลก จนกลายเป็นหนึ่งในมังงะที่ถูกตีพิมพ์สูงสุดตลอดกาล
ความสำเร็จของ ‘Dragon Ball’ ได้ถูกต่อยอดไปด้วยการดัดแปลงเป็นเกม นิยาย และอนิเมะ ที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักสิ่งนี้มากขึ้น ซึ่งความสำเร็จของ ‘Dragon Ball’ นอกจากจะวัดได้ในเชิงมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว เราจะพบว่ามูลค่าที่สิ่งนี้สร้างขึ้นมาเพิ่มคือมูลค่าทางแรงบันดาลใจ
เพราะเรื่องราวที่ผสมผสานระหว่างการผจญภัย การต่อสู้ มุกตลก และไซไฟที่เป็นเอกลักษณ์ก็ทำให้ ‘Dragon Ball’ ได้สร้างสูตรสำเร็จที่ส่งผลกระทบถึงการ์ตูนโชเน็นยุคหลัง สิ่งนี้ทำให้ ‘Dragon Ball’ นั้นได้รับการขนานนามว่า เป็นบิดาของการ์ตูนโชเน็นยุคใหม่ เพราะสูตรสำเร็จของ ‘Dragon Ball’ ได้ก่อร่างสร้างประวัติศาสตร์ที่ใครต่างก็กล่าวขาน ไม่ว่าจะเป็น
การระเบิดพลัง
เราจะเห็นได้ว่าตลอดเรื่องราวของ Dragon Ball คือการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตัวละครมักจะถูกจดจำด้วยการมีท่าไม้ตายอันเป็นเอกลักษณ์ และการระเบิดพลังแฝง จากตอนแรกที่เป็นการต่อสู้แบบกังฟู ก็ได้แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นการระเบิดพลังของลิงยักษ์ ไปจนถึงซูเปอร์ไซย่า ซึ่งเรื่องราวพลังแฝง กับการเปลี่ยนแปลงร่างนี่แหละ ทำให้การ์ตูนโชเน็นยุคต่อมายึดถือเป็นแนวทาง
งานประลอง
‘Dragon Ball’ เป็นหนึ่งในการ์ตูนยุคแรกที่ใช้งานประลองเพื่อดึงเรตติงให้มากขึ้น เพราะทัวร์นาเมนต์เหล่านี้ ทำให้ซีรีส์ได้สร้างแมตช์ในฝันของแฟน ๆ, ได้เห็นเรื่องราวของการฝึกวิชาเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง และท้ายที่สุดคือการเปิดเผยตัวละครใหม่ ที่จะมีบทบาทสำคัญในภายภาคหน้า
บทผู้ไถ่บาป
ความพ่ายแพ้ คือการชำระความผิดบาปในใจของตัวร้าย ซึ่งเราจะพบว่าไม่ว่าจะเป็นพิคโกโร่ เบจิต้า ฟรีซเซอร์หรือกระทั่งโบร์ลี่เองนั้น ก็จะกลับใจมาช่วยมาพระเอกในภายหลัง โดยกรณีของเบจีต้านี่เรียกได้ว่าเป็นการสร้างตำนานบทใหม่ เพราะเปลี่ยนตัวร้ายให้กลายเป็นพระรองที่คนรัก ซึ่งแนวทางนี้นำไปสู่ตัวละครแนวย้ายฝั่ง ที่การ์ตูนโชเน็นยุคใหม่ต้องใช้ เพราะมันช่วยเพิ่มบารมี และมิติตัวละครให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การมาของ Dragon Ball ได้จุดประกายให้เด็กหลายคน เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เพราะมันจุดไฟในใจของผู้คนมากมายให้ลุกโชติช่วงจนเป็นเหมือนปณิธานที่ส่งต่อกัน
เด็กชายเออิจิโระ โอดะ ใช้ ‘Dragon Ball’ เป็นที่ยาใจ ในยามที่ถูกคุณครูเขกหัวเพราะบอกว่าการ์ตูนคือสิ่งไร้สาระ, เด็กชายคุโบะ ไทเทะ ใช้ ‘Dragon Ball’ เป็นแรงผลักดัน และได้แรงกำลังใจที่ดีจากอาจารย์โทริยาม่า, เด็กชายมาซาชิ คิชิโมโตะ ใช้ ‘Dragon Ball’ เป็นเพื่อนคลายความเศร้าในยามที่เขาเผชิญเรื่องเลวร้าย
และเมื่อเด็กชายทั้ง 3 คนนี้เติบใหญ่ พวกเขาก็กล่าวกันอย่างไม่อายว่า ‘Dragon Ball’ คือส่วนผสมสำคัญในชีวิตพวกเขา เพราะมันได้ผลักดันเด็กชายทั้ง 3 จนสร้างผลงานให้กลายเป็น 3 เสาหลักของนิตยสารโชเน็นจัมป์ด้วยการ์ตูนที่มีชื่อว่า ‘One Piece’, ‘Bleach’ และ ‘Naruto’ ซึ่งเป็น Big 3 ที่สรรสร้างปณิธาน และแรงบันดาลใจไปสู่การ์ตูนยุคต่อไปอีกที
จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่เปิดตัว ‘Dragon Ball’ ซีรีส์เรื่องนี้ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนการ์ตูน รวมถึงนักอ่านรุ่นต่อรุ่น อิทธิพลของการ์ตูนเรื่องนี้ ทำให้วัยเด็กของเราทุกคนล้วนมีความหมาย ขอบคุณอาจารย์โทริยาม่า ที่สร้างเรื่องราวอันงดงามนี้ขึ้นมา และ ‘Dragon Ball’ ก็จะมีชีวิตต่อไป ในหัวใจของคนทุกคน
สดุดีแด่ อาจารย์อากิระ โทริยาม่า บิดาแห่งการ์ตูนญี่ปุ่นยุคใหม่